การยึดอำนาจคือกบถ..แต่
1.ศาลไทย..ไม่กล้าหือทหาร..ทุกทีไป
กลายเป็นศาลศรีธนญชัย
2.ตำรวจทั้งประเทศ..ลืม กม.อาญา ม.113 ไปซะงั้น
กลายเป็น ตร.ศรีธนญชัย
3.ผู้นำในทุกวงการ..แม้แต่นักการเมือง หายไปเฉยๆ
เป็นศรีธนญชัย ไปทั้งประเทศ
..
วีรพงษ์ รามางกูร : การเมืองศรีธนญชัย
23 สิงหาคม 2561
ผู้เขียน วีรพงษ์ รามางกูร
มติชนออนไลน์
เคยมีคนกล่าวว่าถ้าอยากเป็นใหญ่ อยากมีอำนาจและอยู่ในอำนาจนานๆ ต้องทำตัวเป็น
ศรีธนญชัย วรรณคดีเรื่องศรีธนญชัยเป็นนิทานที่ไม่ทราบว่าใครเป็นคนแต่ง แต่ก็อ่านต่อๆ กันมาเรื่อยๆ และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ทางอีสานก็มีนิทานคล้ายๆ กันเรียกว่า เซียงเมี่ยง เซียงคือเณรที่สึกออกมาแล้ว
ศรีธนญชัยเป็นคนที่ใช้วาทศิลป์เอาตัวรอด ใช้ไหวพริบฉลาดแกมโกงในเรื่องต่างๆ โกงเอาผลประโยชน์ ทั้งกับคนและสังคมที่มีความคิดแบบซื่อบื้อ ไม่ใช้สติปัญญา ก็จะเป็นเหยื่อของศรีธนญชัย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ศรีธญชัยต้องอาญาให้นำตัวไปผูกกับเสาไว้ในทะเล รอให้น้ำขึ้นก็จะต้องจมน้ำตาย เมื่อศรีธนญชัยถูกทหารนำไปผูกกับเสาไว้กลางทะเล ศรีธนญชัยก็ตะโกนดังๆ ว่า “ข้าไม่เป็น ข้าไม่เอา”
ขณะนั้นมีเรือสำเภาแล่นผ่านมาได้ยินเกิดความสงสัย จึงเอาตัวศรีธนญชัยขึ้นไปถามบนเรือว่า
เขาจะให้เป็นอะไรจึงร้องตะโกนลั่นท้องทะเลว่า “ข้าไม่เป็น ข้าไม่เอา” ศรีธนญชัยตอบว่าเขาจะให้ไปเป็นพระราชา ตนไม่อยากเป็น เขาจึงนำมาผูกไว้ให้น้ำทะเลท่วมตาย เจ้าสัวเจ้าของเรือสำเภาพอได้ความจึงขอเอาตัวเองไปผูกไว้กับหลักกลางทะเล แล้วยกเรือสำเภาพร้อมกับสินค้าให้
ศรีธนญชัยไป ตัวเองร้องตะโกนว่า “ข้ายอมเป็น เป็นแล้ว ข้าอยากเป็น” จนน้ำทะเลขึ้นท่วมศีรษะจมน้ำตายก็ไม่มีใครเอาไปเป็นพระราชา
เราจะได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่า ไม่ได้อยากเป็น ขอเป็นเพื่อสร้างความปรองดอง เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จะอยู่เพียงเท่าที่กำหนดไว้ใน road map หรือแผนที่จะนำประเทศชาติกลับไปอยู่ในสภาพปรองดองอย่างเดิม แต่ปรากฏเข้าปีที่ 5 แล้วก็ยังเป็นอยู่ ขณะเดียวกันสภาพสังคมไทยก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้มีการแตกต่างหรือแตกแยกแต่อย่างใด
สมัยที่สังคมแตกแยกก็เพราะทหารหรือกองทัพจะอยู่เป็นกลาง จะไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมาย ถ้ามีการกระทำผิดก็จะ “ใส่เกียร์ว่าง” รัฐบาลใดถ้าทหารประกาศเป็นกลางใส่เกียร์ว่างรัฐบาลนั้นก็ล้ม เพราะเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านออกมาทำผิดกฎหมาย กีดขวางการเลือกตั้ง ปิดหน่วยเลือกตั้ง คว่ำบาตรการเลือกตั้ง เพราะรู้ตัวว่าถ้ามีการเลือกตั้งตัวก็จะต้องแพ้ จัดการปิดหน่วยราชการ ปิดกรุงเทพฯ ใช้ภาษาอังกฤษเสียสวยหรูว่า Shut Down Bangkok โดยไม่มีความผิด ปิดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิและดอนเมือง แต่ปากก็พร่ำบ่นโดยกองทัพและพรรคการเมืองฝ่ายค้านว่าตนต้องการประชาธิปไตย กล่าวว่าการขัดแย้งกันทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองเป็นอันตรายต่อความมั่นคง
การชุมนุมของนักเรียนนักศึกษาเพียงหยิบมือเดียวสามารถสร้างความประหวั่นพรั่นใจให้กับผู้นำกองทัพ ถูกตำรวจจับเพราะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ กองทัพแทนที่จะเอาไว้ต่อสู้กับอริราชศัตรู เพื่อความมั่นคงของประเทศ กลายเป็นมีไว้เพื่อต่อสู้กับประชาชน เพื่อความมั่นคงของรัฐบาลและคณะรัฐประหาร คณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วยคนไม่ถึง 100 คน แต่เป็นคนถืออาวุธ ถืออำนาจเป็นธรรม ไม่ได้ถือธรรมเป็นอำนาจ ออกโทรทัศน์ข่มขู่ประชาชนทุกวันศุกร์โดยที่ประชาชนไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะเกรงกลัวผู้ถืออาวุธที่ยึดอำนาจไปโดยคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง ประชาชนฟังแล้วก็ทำตาปริบๆ เหมือนกับฟังคำอธิบายของศรีธนญชัย
ครูบาอาจารย์ที่สอนวิชากฎหมายก็ดี สอนวิชารัฐศาสตร์ก็ดี สอนวิชารัฐประศาสนศาสตร์ก็ดี ต่างก็ทำตัวว่านอนสอนง่าย หลายคนก็กลายเป็นศรีธนญชัยผู้รับใช้เผด็จการทหารเสียเองในกรอบกฎหมาย เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบเผด็จการ ซึ่งในศตวรรษที่ 21 นี้เขาเลิกกันไปหมดแล้ว หลังจากสงครามเย็น หลังจากการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์
ที่ร้ายกาจไปกว่านั้นก็คือเมื่อ “เสียสัตย์” ที่ว่าจะอยู่เพียงแค่ที่ให้คำมั่นสัญญา กับประชาชนคนไทย กับประชาคมโลกว่าจะอยู่เท่าที่สัญญาไว้ตามแผนที่กำหนด ก็เปลี่ยนใจอยากอยู่ต่อไปอีกกว่า 20 ปี ซึ่งไม่น่าจะมีใครยอมให้ทำได้ เพราะวิถีทางเข้าสู่อำนาจเป็นวิถีทางที่ไม่ชอบธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทำความผิดฐานกบฏ มีโทษถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต แต่ออกกฎหมายนิรโทษตนเอง ไม่มีสิทธิมาสอนให้คนปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะตนไม่เพียงแต่ละเมิดกฎหมาย แต่เป็นคนฉีกกฎหมายเสียเอง ไม่เคารพต่อกฎหมาย ไม่มีบทกฎหมายใดอนุญาตให้ทำการปฏิวัติรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญได้ แล้วจะเป็นคนบังคับให้ผู้อื่นปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างใด
การเรียกคนไปเปลี่ยนทัศนคติ จึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างโจ่งแจ้ง เป็นการทำลายสติปัญญา ความก้าวหน้าของสังคมไทยอย่างมหาศาล ทำให้สติปัญญาของคนไทยถอยกลับไปเหมือนเมื่อหลังวันที่ 20 กันยายน 2500 กว่า 60 ปี หรือกว่าครึ่งศตวรรษที่แล้ว ยุคนั้นดูเหมือนผู้นำทหารจะมีสติปัญญาสูงกว่าสมัยนี้แต่ก็ยังเกิดกรณี 14 ตุลา 16 จนได้
จะเป็นประชาธิปไตยก็จัดตั้งพรรคการเมือง ประกาศสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชารัฐหรือพรรคการเมืองอีก 3-4 พรรคที่กำลังจะตั้งก็จะเป็นพรรคศรีธนญชัยไปโดยปริยาย กลุ่ม 3 มิตรดูหน้าแล้วก็ล้วนเป็นผู้ที่ได้ดิบได้ดีมาจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยทั้งนั้น ทำตัวเป็นศรีธนญชัยเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น เดินสายหาเสียงก่อนที่จะมีกฎหมายพรรคการเมือง ก่อนจะปลดล็อก
มาตรการยุบพรรคของฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐนั้น ที่แท้จริงคือไม่ต้องการพรรคที่สนับสนุนโดยคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ต้องการพัฒนาระบบพรรคการเมืองด้วยเสียงของคนใช้สิทธิ แต่ต้องการพรรคที่หนีการเลือกตั้ง พรรคที่คว่ำบาตรการเลือกตั้ง พรรคที่อ้างตัวว่าเป็น “ผู้เชื่อในระบบรัฐสภา” แต่ไม่คัดค้าน “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” แต่จะโผล่มาเมื่อประชาชนคัดค้านขับไล่สำเร็จไปแล้ว
ผู้นำพรรคที่ถูกดูดก็ทำตัวเป็นศรีธนญชัย ทำท่าว่าตนเองสามารถดูดนักการเมือง ดูดอดีต ส.ส.จากพรรครัฐบาลเพื่อไทยมาอยู่กับพรรคของตนได้ แล้วก็ประกาศตนเป็นพรรคของประชาชน ไม่ใช่พรรคทหาร ทั้งๆ ที่ประกาศว่าตั้งพรรคขึ้นมาเพื่อสนับสนุนทหารเป็นนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลก่อนเคยจะรื้อแฟลตดินแดง หัวหน้ามาเฟียของแฟลตดินแดงก็ออกมาคัดค้านจะเป็นจะตาย สื่อหลักก็ลงข่าวเหมือนจะเป็นจะตาย หลังการทำรัฐประหารข่าวก็เงียบหายไป มาเป็นข่าวอีกทีเมื่อรัฐบาลได้สร้างแฟลตใหม่สูง 25 ชั้น ภาพจากโทรทัศน์เป็นแฟลตชั้นดี สื่อก็ยินดีปรีดา ลืมไปแล้วว่าตนเคยลงข่าวผู้คัดค้านจะเป็นจะตาย เมื่อถูกถามก็ตอบว่าเป็นหน้าที่ของสื่อ เมื่อมีข่าวก็ต้องลงข่าว คนไทยก็เป็นศรีธนญชัย
ในยุคเผด็จการครองเมือง ข่าวการเมืองก็มักจะไม่ค่อยมี เพราะจะมีนายทหารโทรศัพท์มาขอความร่วมมือให้ลงหรือไม่ลงข่าวอยู่เสมอ สื่อเป็นองค์กรธุรกิจที่ต้องทำมาหากิน ก็ต้องยินยอมโอนอ่อนไปตามคำขอ จะโหมทำแต่ข่าวธุรกิจก็คงจะไปได้ยาก ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจ จึงมีแต่ข่าวอาชญากรรม ตีหัวหมาด่าแม่จีนเป็นหลัก ต่อไปคงมีข่าวไอ้ดำมักกะสัน หรือข่าวไข่พญานาคนครสวรรค์โผล่มาอีก เท่านั้นไม่พอเราจะเห็นการล่มสลายของหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนครั้งใหญ่ ที่ยังอยู่ได้ก็อาศัยการยอมขาดทุนของนายทุนผู้เป็นเจ้าของสื่อ
ถ้ารัฐบาลทหารสามารถต่อท่อยืดอายุตนได้ 20 ปีโดยการดูด ส.ส.โดยการมีสภาศรีธนญชัย การเมืองก็จะจืดชืด มีรัฐบาลที่ไม่มีใครตรวจสอบ ไม่ว่าจะโดยวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีพรรคฝ่ายค้าน มีแต่พรรครัฐบาลและพรรครอเข้าร่วมรัฐบาล เหมือนสมัยหนึ่ง ผู้นำก็จะอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพูดว่า “ผมพอแล้ว” เท่านั้น
การเลือกตั้งที่ว่าจะมีไม่เกินวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 นั้น ก็จะเป็นการเลือกตั้งแบบศรีธนญชัย พรรคการเมืองจะได้คะแนนเสียงมากมายเท่าไหร่ก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล คะแนนเสียงที่ได้ก็จะเป็นแบบหัวแหลกหัวแตก คำขวัญที่ว่า “พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค” หรือ “เลือกทั้งพรรค เหมือนฟังดนตรีทั้งคณะ” เป็นอันใช้ไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นทหารอาจจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีสมาชิกวุฒิสภารองรับอยู่แล้ว 250 เสียง จาก 750 เสียง นายกฯจึงเป็นผู้เลือกพรรคการเมืองเข้าร่วมรัฐบาล ไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีอยู่แล้วประชาชนไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงต่อให้ได้เสียงข้างมากก็ตาม ลงคะแนนเสียงอย่างไรก็จะได้นายกรัฐมนตรีคนเดิมที่ไม่ต้องลงเลือกตั้ง การเลือกตั้งจึงเป็นการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ศรีธนญชัย
ระบอบการปกครองหลังการเลือกตั้งนี้ แม้จะดูว่ามีเสถียรภาพ แต่ความจริงเป็นระบอบการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ เป็นระบอบที่ต้องคอยหวาดผวาประชาชน เป็นระบอบที่หวาดผวาต่อการรวมกลุ่มประท้วงของประชาชนและสื่อมวลชนอยู่เสมอ จนกลายเป็นรัฐบาลที่เป็นศัตรูและอยู่ตรงกันข้ามกับประชาชนเสมอ เป็นระบอบที่ “ปกครองด้วยความกลัว ไม่ใช่ปกครองด้วยความรัก” เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องคอยตรวจสอบ ควบคุม ข่มขู่ เรียกไปเปลี่ยนทัศนคติ หรือส่งทหารมาคุยที่บ้านอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ผลอะไรเลย
ระบอบศรีธนญชัยเผด็จการทหาร จะสนใจเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจน้อยมาก กำลังสร้างกระแสว่าตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไม่มีความหมาย เพราะเป็นระบบเศรษฐกิจหัวโตขาลีบ ประโยชน์ตกอยู่กับนายทุนไม่กี่รายที่ทำการส่งออก ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เวลาเศรษฐกิจไม่ดี มันไม่ดีไปด้วยกันหมด เมื่อเศรษฐกิจดีก็ดีไปด้วยกันหมด ราคาตกต่ำก็ตกต่ำด้วยกัน ทั้งราคาส่งออก นำเข้า ราคาพืชผลและสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศ สื่อมวลชนก็แย่ไปด้วยเพราะไม่มีโฆษณา
เท่าที่ผ่านมายังไม่เห็นโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เป็นชิ้นเป็นอัน แม้มีนโยบายอัดฉีดเงินจำนวนมาก แต่อัดฉีดไม่เข้าเพราะกฎหมายระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่แก้ไว้ป้องกันระบอบทักษิณแต่ตัวเองต้องเป็นคนใช้ นโยบายฟื้นฟูจึงไม่ได้ผล ขวัญและกำลังใจของผู้คนจึงยังไม่มา ยุโรปและอเมริกาจึงใช้ความเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารในการกีดกันการค้าของไทย เหลือแต่นักท่องเที่ยวจีนเท่านั้นที่เป็นตัวช่วย ส่วนวิสัยทัศน์ทางอื่นยังไม่เห็นมี หรือมีแต่คงใช้ไม่ได้จึงจำไม่ได้ ทั้งๆ ที่ต่อว่าสื่อมวลชนว่าไม่มีหัวคิด หรือมีอคติกับรัฐบาลนี้
ไปได้แล้ว อย่าต่ออีกเลย
ศรีธนญชัยไป ตัวเองร้องตะโกนว่า “ข้ายอมเป็น เป็นแล้ว ข้าอยากเป็น” จนน้ำทะเลขึ้นท่วมศีรษะจมน้ำตายก็ไม่มีใครเอาไปเป็นพระราชา
เราจะได้ยินได้ฟังอยู่เสมอว่า ไม่ได้อยากเป็น ขอเป็นเพื่อสร้างความปรองดอง เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จะอยู่เพียงเท่าที่กำหนดไว้ใน road map หรือแผนที่จะนำประเทศชาติกลับไปอยู่ในสภาพปรองดองอย่างเดิม แต่ปรากฏเข้าปีที่ 5 แล้วก็ยังเป็นอยู่ ขณะเดียวกันสภาพสังคมไทยก็ยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้มีการแตกต่างหรือแตกแยกแต่อย่างใด
สมัยที่สังคมแตกแยกก็เพราะทหารหรือกองทัพจะอยู่เป็นกลาง จะไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของรัฐบาลในการบังคับใช้กฎหมาย ถ้ามีการกระทำผิดก็จะ “ใส่เกียร์ว่าง” รัฐบาลใดถ้าทหารประกาศเป็นกลางใส่เกียร์ว่างรัฐบาลนั้นก็ล้ม เพราะเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านออกมาทำผิดกฎหมาย กีดขวางการเลือกตั้ง ปิดหน่วยเลือกตั้ง คว่ำบาตรการเลือกตั้ง เพราะรู้ตัวว่าถ้ามีการเลือกตั้งตัวก็จะต้องแพ้ จัดการปิดหน่วยราชการ ปิดกรุงเทพฯ ใช้ภาษาอังกฤษเสียสวยหรูว่า Shut Down Bangkok โดยไม่มีความผิด ปิดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิและดอนเมือง แต่ปากก็พร่ำบ่นโดยกองทัพและพรรคการเมืองฝ่ายค้านว่าตนต้องการประชาธิปไตย กล่าวว่าการขัดแย้งกันทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองเป็นอันตรายต่อความมั่นคง
การชุมนุมของนักเรียนนักศึกษาเพียงหยิบมือเดียวสามารถสร้างความประหวั่นพรั่นใจให้กับผู้นำกองทัพ ถูกตำรวจจับเพราะเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ กองทัพแทนที่จะเอาไว้ต่อสู้กับอริราชศัตรู เพื่อความมั่นคงของประเทศ กลายเป็นมีไว้เพื่อต่อสู้กับประชาชน เพื่อความมั่นคงของรัฐบาลและคณะรัฐประหาร คณะปฏิวัติซึ่งประกอบด้วยคนไม่ถึง 100 คน แต่เป็นคนถืออาวุธ ถืออำนาจเป็นธรรม ไม่ได้ถือธรรมเป็นอำนาจ ออกโทรทัศน์ข่มขู่ประชาชนทุกวันศุกร์โดยที่ประชาชนไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะเกรงกลัวผู้ถืออาวุธที่ยึดอำนาจไปโดยคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง ประชาชนฟังแล้วก็ทำตาปริบๆ เหมือนกับฟังคำอธิบายของศรีธนญชัย
ครูบาอาจารย์ที่สอนวิชากฎหมายก็ดี สอนวิชารัฐศาสตร์ก็ดี สอนวิชารัฐประศาสนศาสตร์ก็ดี ต่างก็ทำตัวว่านอนสอนง่าย หลายคนก็กลายเป็นศรีธนญชัยผู้รับใช้เผด็จการทหารเสียเองในกรอบกฎหมาย เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบเผด็จการ ซึ่งในศตวรรษที่ 21 นี้เขาเลิกกันไปหมดแล้ว หลังจากสงครามเย็น หลังจากการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์
ที่ร้ายกาจไปกว่านั้นก็คือเมื่อ “เสียสัตย์” ที่ว่าจะอยู่เพียงแค่ที่ให้คำมั่นสัญญา กับประชาชนคนไทย กับประชาคมโลกว่าจะอยู่เท่าที่สัญญาไว้ตามแผนที่กำหนด ก็เปลี่ยนใจอยากอยู่ต่อไปอีกกว่า 20 ปี ซึ่งไม่น่าจะมีใครยอมให้ทำได้ เพราะวิถีทางเข้าสู่อำนาจเป็นวิถีทางที่ไม่ชอบธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กระทำความผิดฐานกบฏ มีโทษถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต แต่ออกกฎหมายนิรโทษตนเอง ไม่มีสิทธิมาสอนให้คนปฏิบัติตามกฎหมาย เพราะตนไม่เพียงแต่ละเมิดกฎหมาย แต่เป็นคนฉีกกฎหมายเสียเอง ไม่เคารพต่อกฎหมาย ไม่มีบทกฎหมายใดอนุญาตให้ทำการปฏิวัติรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญได้ แล้วจะเป็นคนบังคับให้ผู้อื่นปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างใด
การเรียกคนไปเปลี่ยนทัศนคติ จึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างโจ่งแจ้ง เป็นการทำลายสติปัญญา ความก้าวหน้าของสังคมไทยอย่างมหาศาล ทำให้สติปัญญาของคนไทยถอยกลับไปเหมือนเมื่อหลังวันที่ 20 กันยายน 2500 กว่า 60 ปี หรือกว่าครึ่งศตวรรษที่แล้ว ยุคนั้นดูเหมือนผู้นำทหารจะมีสติปัญญาสูงกว่าสมัยนี้แต่ก็ยังเกิดกรณี 14 ตุลา 16 จนได้
จะเป็นประชาธิปไตยก็จัดตั้งพรรคการเมือง ประกาศสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชารัฐหรือพรรคการเมืองอีก 3-4 พรรคที่กำลังจะตั้งก็จะเป็นพรรคศรีธนญชัยไปโดยปริยาย กลุ่ม 3 มิตรดูหน้าแล้วก็ล้วนเป็นผู้ที่ได้ดิบได้ดีมาจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยทั้งนั้น ทำตัวเป็นศรีธนญชัยเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น เดินสายหาเสียงก่อนที่จะมีกฎหมายพรรคการเมือง ก่อนจะปลดล็อก
มาตรการยุบพรรคของฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐนั้น ที่แท้จริงคือไม่ต้องการพรรคที่สนับสนุนโดยคนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ต้องการพัฒนาระบบพรรคการเมืองด้วยเสียงของคนใช้สิทธิ แต่ต้องการพรรคที่หนีการเลือกตั้ง พรรคที่คว่ำบาตรการเลือกตั้ง พรรคที่อ้างตัวว่าเป็น “ผู้เชื่อในระบบรัฐสภา” แต่ไม่คัดค้าน “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” แต่จะโผล่มาเมื่อประชาชนคัดค้านขับไล่สำเร็จไปแล้ว
ผู้นำพรรคที่ถูกดูดก็ทำตัวเป็นศรีธนญชัย ทำท่าว่าตนเองสามารถดูดนักการเมือง ดูดอดีต ส.ส.จากพรรครัฐบาลเพื่อไทยมาอยู่กับพรรคของตนได้ แล้วก็ประกาศตนเป็นพรรคของประชาชน ไม่ใช่พรรคทหาร ทั้งๆ ที่ประกาศว่าตั้งพรรคขึ้นมาเพื่อสนับสนุนทหารเป็นนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลก่อนเคยจะรื้อแฟลตดินแดง หัวหน้ามาเฟียของแฟลตดินแดงก็ออกมาคัดค้านจะเป็นจะตาย สื่อหลักก็ลงข่าวเหมือนจะเป็นจะตาย หลังการทำรัฐประหารข่าวก็เงียบหายไป มาเป็นข่าวอีกทีเมื่อรัฐบาลได้สร้างแฟลตใหม่สูง 25 ชั้น ภาพจากโทรทัศน์เป็นแฟลตชั้นดี สื่อก็ยินดีปรีดา ลืมไปแล้วว่าตนเคยลงข่าวผู้คัดค้านจะเป็นจะตาย เมื่อถูกถามก็ตอบว่าเป็นหน้าที่ของสื่อ เมื่อมีข่าวก็ต้องลงข่าว คนไทยก็เป็นศรีธนญชัย
ในยุคเผด็จการครองเมือง ข่าวการเมืองก็มักจะไม่ค่อยมี เพราะจะมีนายทหารโทรศัพท์มาขอความร่วมมือให้ลงหรือไม่ลงข่าวอยู่เสมอ สื่อเป็นองค์กรธุรกิจที่ต้องทำมาหากิน ก็ต้องยินยอมโอนอ่อนไปตามคำขอ จะโหมทำแต่ข่าวธุรกิจก็คงจะไปได้ยาก ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจ จึงมีแต่ข่าวอาชญากรรม ตีหัวหมาด่าแม่จีนเป็นหลัก ต่อไปคงมีข่าวไอ้ดำมักกะสัน หรือข่าวไข่พญานาคนครสวรรค์โผล่มาอีก เท่านั้นไม่พอเราจะเห็นการล่มสลายของหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนครั้งใหญ่ ที่ยังอยู่ได้ก็อาศัยการยอมขาดทุนของนายทุนผู้เป็นเจ้าของสื่อ
ถ้ารัฐบาลทหารสามารถต่อท่อยืดอายุตนได้ 20 ปีโดยการดูด ส.ส.โดยการมีสภาศรีธนญชัย การเมืองก็จะจืดชืด มีรัฐบาลที่ไม่มีใครตรวจสอบ ไม่ว่าจะโดยวุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีพรรคฝ่ายค้าน มีแต่พรรครัฐบาลและพรรครอเข้าร่วมรัฐบาล เหมือนสมัยหนึ่ง ผู้นำก็จะอยู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพูดว่า “ผมพอแล้ว” เท่านั้น
การเลือกตั้งที่ว่าจะมีไม่เกินวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 นั้น ก็จะเป็นการเลือกตั้งแบบศรีธนญชัย พรรคการเมืองจะได้คะแนนเสียงมากมายเท่าไหร่ก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล คะแนนเสียงที่ได้ก็จะเป็นแบบหัวแหลกหัวแตก คำขวัญที่ว่า “พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค” หรือ “เลือกทั้งพรรค เหมือนฟังดนตรีทั้งคณะ” เป็นอันใช้ไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นทหารอาจจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง แต่เนื่องจากนายกรัฐมนตรีมีสมาชิกวุฒิสภารองรับอยู่แล้ว 250 เสียง จาก 750 เสียง นายกฯจึงเป็นผู้เลือกพรรคการเมืองเข้าร่วมรัฐบาล ไม่ใช่พรรคร่วมรัฐบาลจะเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีอยู่แล้วประชาชนไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงต่อให้ได้เสียงข้างมากก็ตาม ลงคะแนนเสียงอย่างไรก็จะได้นายกรัฐมนตรีคนเดิมที่ไม่ต้องลงเลือกตั้ง การเลือกตั้งจึงเป็นการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ศรีธนญชัย
ระบอบการปกครองหลังการเลือกตั้งนี้ แม้จะดูว่ามีเสถียรภาพ แต่ความจริงเป็นระบอบการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ เป็นระบอบที่ต้องคอยหวาดผวาประชาชน เป็นระบอบที่หวาดผวาต่อการรวมกลุ่มประท้วงของประชาชนและสื่อมวลชนอยู่เสมอ จนกลายเป็นรัฐบาลที่เป็นศัตรูและอยู่ตรงกันข้ามกับประชาชนเสมอ เป็นระบอบที่ “ปกครองด้วยความกลัว ไม่ใช่ปกครองด้วยความรัก” เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องคอยตรวจสอบ ควบคุม ข่มขู่ เรียกไปเปลี่ยนทัศนคติ หรือส่งทหารมาคุยที่บ้านอยู่เสมอ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ผลอะไรเลย
ระบอบศรีธนญชัยเผด็จการทหาร จะสนใจเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจน้อยมาก กำลังสร้างกระแสว่าตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไม่มีความหมาย เพราะเป็นระบบเศรษฐกิจหัวโตขาลีบ ประโยชน์ตกอยู่กับนายทุนไม่กี่รายที่ทำการส่งออก ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เวลาเศรษฐกิจไม่ดี มันไม่ดีไปด้วยกันหมด เมื่อเศรษฐกิจดีก็ดีไปด้วยกันหมด ราคาตกต่ำก็ตกต่ำด้วยกัน ทั้งราคาส่งออก นำเข้า ราคาพืชผลและสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตในประเทศ สื่อมวลชนก็แย่ไปด้วยเพราะไม่มีโฆษณา
เท่าที่ผ่านมายังไม่เห็นโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เป็นชิ้นเป็นอัน แม้มีนโยบายอัดฉีดเงินจำนวนมาก แต่อัดฉีดไม่เข้าเพราะกฎหมายระเบียบจัดซื้อจัดจ้างที่แก้ไว้ป้องกันระบอบทักษิณแต่ตัวเองต้องเป็นคนใช้ นโยบายฟื้นฟูจึงไม่ได้ผล ขวัญและกำลังใจของผู้คนจึงยังไม่มา ยุโรปและอเมริกาจึงใช้ความเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารในการกีดกันการค้าของไทย เหลือแต่นักท่องเที่ยวจีนเท่านั้นที่เป็นตัวช่วย ส่วนวิสัยทัศน์ทางอื่นยังไม่เห็นมี หรือมีแต่คงใช้ไม่ได้จึงจำไม่ได้ ทั้งๆ ที่ต่อว่าสื่อมวลชนว่าไม่มีหัวคิด หรือมีอคติกับรัฐบาลนี้
ไปได้แล้ว อย่าต่ออีกเลย