วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 30, 2561

เหลือระอา ปปช. และลิ่วล้อบริกรกฎหมาย คสช.


เฮ้อ ฟังความเห็น ปปช.ต่อการไต่สวนหาข้อเท็จจริงในการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด จีที ๒๐๐ แล้วเหลือระอา มันสะท้อนพฤติกรรมบิดเบี้ยวและเล่นแร่แปรธาตุกับกฎหมายขององค์กรและผู้บังคับใช้ ที่แต่งตั้งกันเข้ามาโดยไม่ติดยึดประชาชน

นายสุรศักดิ์ คีรีวิเชียร หนึ่งในกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติชุดปัจจุบัน ถูกถามเรื่องการไต่สวนกรณี GT200 ไปถึงไหนแล้ว ผู้ค้า ผู้ผลิตในอังกฤษติดคุกกันไปนานนมโทษฐานหลอกลวงย้อมแมวขาย แต่ทางการไทยหนังเหนียวคดีเติ่งอยู่กับ ปปช.

“ยืนยันว่า ป.ป.ช.ไม่มีการปล่อยให้ขาดอายุความแน่นอน แต่การจะวินิจฉัยว่าถูกหรือผิดเป็นเรื่องที่ยาก” นายสุรศักดิ์อ้าง แหม ถ้ามันง่ายๆ จะต้องจ้าง ปปช. เงินเดือนคนละแสนสองแสนสามให้มาพิจารณาทำไม ให้ตำรวจร้อยเวรทำก็ได้

นายสุรศักดิ์ปล่อยทีเด็ดอีกว่า “บางครั้งไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของเครื่อง แต่เป็นเหมือนความเชื่อ เหมือนพระเครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นำไปใช้ แล้วเขารู้สึกว่าคุ้มค่า” โอว พ่อเจ้าประคุณ ถ้าต้องซื้อแพงเพราะความขลัง ทีหลังเอาจตุคาม หรือปลัดขิกแทนได้ไหม


อีกกรณี ฝีมือ ปปช.เหมือนกัน คดีเก่าตั้งแต่ปี ๕๑ เมื่อ ปปช. ตั้งตัวเป็นผู้คุ้มครอง พันธมิตรฯ (พธม.) จัดการฟ้องรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โทษฐานสลายการชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เกิดมี น้องโบว์ตายเพราะระเบิดซี่โครงแหลก

ถ้าจำกันได้ ยุคนั้นพวกม็อบผ้าพันคอสีฟ้าฟู่ฟ่ามากขนาดพยายามจะทำให้วันที่ ๗ ตุลา เป็นวันสำคัญของชาติเทียบเท่า ๑๔ ตุลา นั่นเลย จนกระทั่งปี ๒๕๖๐ เกือบทศวรรษถึงได้รู้แจ้งจากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้อง นายสมชาย (นายกฯ) พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ์ (รองนายกฯ) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว (ผบ.นครบาล)

ปปช.ตอนนั้นก็ไม่ย่นย่อ อุทธรณ์คำพิพากษา แต่ละเว้นจำเลยสามคน ตั้งแต่นายกฯ ถึง ผบ.ตร. หันมาฟัด ผบ.นครบาลคนเดียว พล.ต.ท.สุชาติพยายามต่อสู้ด้วยข้ออ้างทางเทคนิคเกี่ยวกับกฎหมาย ป.วิ อม. (วิธีพิจารณานักการเมือง) และรัฐธรรมนูญใหม่ ๒๕๖๐ แต่ไม่ได้ผล ศาลยืนยันรับพิจารณษคำอุทธรณ์ของ ปปช.
 
จนเมื่อ ๒๘ ส.ค. ๖๑ ศาลก็ตัดสินยกฟ้อง พล.ต.ท.สุชาติอีก ทำให้ได้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์เพิ่งสร้าง (คำของ สมศักดื เจียมฯ) ว่าน้องโบว์ไม่ได้ตายเพราะแก๊สน้ำตาของตำรวจ แต่จากระเบิดอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็น “ระเบิดแรงต่ำที่ระกอบขึ้นเอง เป็นระเบิดแสงเครื่องจากดินเทาดินดำ” หรือ “ระเบิดปิงปอง” ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายไหล่หนีบไว้ใต้รักแร้ ก็ได้

แน่ๆ ไม่มีทางใช่แก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้ซึ่งทำในประเทศจีน และไม่มี “สารโพสแทสเซียมคอลเรตที่เป็นส่วนประกอบระเบิด” พบจาก “เศษเขม่าที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าน.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ

นอกนั้นยังเป็นการยืนยันว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ ครั้งนั้นไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ ปราศจากความรุนแรง ตามนิยามแห่งรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด เนื่องจาก “สถานการณ์เพิ่มความรุนแรงขึ้นในช่วงเย็น

โดยผู้ชุมนุมบางส่วนได้เคลื่อนไปกดดันที่ บช.น. ทำร้าย พล.ต.ต.โกสินทร์ บุญสร้าง รอง ผบช.ตชด. ที่ออกมาช่วยเจรจาให้ถอนพ้นแนวรั้วลวดหนาม ด้วยการขว้างท่อนเหล็กจนสลบไป


ตัดข้ามช็อตไปที่ คนละเรื่องเดียวกันเกี่ยวกับการ เล่นแร่แปรธาตุของพวกนักออกกฎหมาย คสช. “เพื่อสร้างความได้เปรียบ-เสียเปรียบ และทำให้วันเลือกตั้งไม่แน่นอน” ดังที่ ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล ว่าที่เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่บ่นไว้บนเฟชบุ๊ค

“ใช้กฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป จนยุ่งเหยิง อีรุงตุงนังไปหมด คนมีอำนาจกำหนดกติกาเหล่านี้เอง ยังงงเอง ออกแล้วแก้ ออกแล้วแก้ ตามมาแก้ปัญหาที่ตนเองก่อขึ้นไม่จบสิ้น”
 
ดร.ปิยบุตรพูดถึง พรป. เลือกตั้ง ส.ส. ที่พวกนิติบริการกำหนดไว้ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองพรรคเดียวติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๙๐ วันเมื่อถึงวันเลือกตั้ง ตาม ม.๔๑ (๓) แต่ “กว่าจะยื่นจดจัดตั้ง กว่า กกต. จะจดทะเบียน กว่าจะเริ่มนับอายุสมาชิก ก็อาจไม่ทัน ๙๐ วัน”

เสร็จแล้วก็มีการเสริมเติมใน ม.๑๗๒ ให้ชัดเจน จะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบพรรคตั้งใหม่ (นัยว่ามีพรรคที่ประกาศสนับสนุนบิ๊กตู่บเป็นนายกฯ ตั้งใหม่หลายพรรค) ว่า “ให้ถือว่าผู้ที่เข้าชื่อร่วมกันนั้นเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นมาตั้งแต่วันที่ยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง”

ครั้นเกิดกระแส เลื่อนเลือกตั้ง ขึ้นมา สนช. ลิ่วล้อ คสช.ทั้งหลายก็เลยแก้ร่างกฎหมายเลือกตั้งนี้เสียอีก ให้ขยายเวลาการมีผลบังคับใช้ออกไป (ม.๒) เป็นหลังจากมีประกาศในราชกิจจาฯ แล้ว ๙๐ วัน เป็นอันว่า ม. ๑๗๒ ที่ให้มีสมาชิกภาพได้เมื่อยื่นจดทะเบียนนั้นต้องรออีก ๙๐ วันเหมือนกัน

ดร.ปิยบุตรบอกว่านี่แหละ มายากลทางกฎหมาย ของพวกบริกรลิ่วล้อ คสช. ทำยึกยักมากเรื่องเสียจนพวกตนยัง งง