วันจันทร์, สิงหาคม 27, 2561

มิติใหม่ท่องเที่ยวไทยเกาะรัตนโกสินทร์ หรือไม่เอาเกาะเต่า


โครงการเวนคืนพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ให้เป็นเขตพระราชฐานล้วนๆ (ในความรู้สึกที่ว่าไม่ใช่ของรัฐบาล) ที่ประชาชนในกรุงเทพมหานครพากันจับตามาพักใหญ่ เป็นรูปธรรมขึ้นมาชัดเจนแล้ว

เมื่อปรากฏ แผนพัฒนา กทม. ระยะ ๒๐ ปีและ แผนผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาหล่อหลอมให้เพียบพร้อมบริบูรณ์ โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก่อนจะเสนอคณะรัฐมนตรี คสช. อนุมัติในไม่ช้า

ที่ว่า ในไม่ช้านี้หมายถึงจะไม่ผูกพันกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ว่าประเทศจะมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งในปลายปี ๒๕๖๒ หรือว่าคณะยึดอำนาจ คสช. ยังคงเป็นรัฐบาลต่อไปอีกนานเท่าใด ไม่รู้ ทั้งนี้เนื่องจาก แผนแม่บทเริ่มมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงแล้วอย่างจริงจัง

สำนักงานนโยบายและวางแผนฯ (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ได้ว่าจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยขยายแผนแม่บท จากของเดิมที่มีการจัดทำไว้เมื่อปี ๒๕๔๐ “เพื่อการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ใหม่ฉบับปี ๒๕๖๐ โดยขยายขอบเขตพื้นที่ครอบคลุม”

ทั้งกรุงรัตนโกสินทร์ ชั้นใน ชั้นนอก กับพื้นที่ต่อเนื่องกับทั้งสองชั้นนี้ “ตั้งแต่แนวคลองรอบกรุงถึงแนวคลองผดุงกรุงเกษม” แล้วยังมีพื้นที่ฝั่งธนบุรีตรงข้ามเกาะรัตนโกสินทร์ และพื้นที่ต่อเนื่องในธนบุรีที่อยู่ตรงข้ามเกาะรัตนโกสินทร์ด้วย

รูปธรรมที่เห็น จากการย้ายเขาดินออกนอกเกาะรัตนโกสินทร์ แผนการย้ายมหาวิทยาลัยราชภัฏ โครงการย้ายกระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงท่องเที่ยวฯ และศาลาว่าการ กทม. เพื่อลดความแออัด ไปจนถึงการ

“ปรับปรุงภูมิทัศน์ ระบบการจราจร การใช้ประโยชน์ที่ดิน ระบบสาธารณูปโภค สาธารณูปการ การปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยว การท่องเที่ยวและวิถีชุมชน” บนเกาะรัตนโกสินทร์ทั้งหมด ดังที่นายศักดิ์ชัย บุญมา ผอ.ผังเมืองแจ้งว่า

“เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานในพื้นที่รอบกรุงรัตนโกสินทร์” จะทำให้เป็นแลนด์มาร์คของการท่องเที่ยวประเทศไทย “เหมือนกับถนนฌ็องเซลิเซ่ของประเทศฝรั่งเศส” นั่นเลยเชียว


เป็นที่น่ายินดีกับการสถาปนามิติแห่งการท่องเที่ยงทางวัฒนธรรมเช่นนี้ ในแนวทางที่ย่านปูซานของเกาหลีใต้ หรือห้อยอันของเวียตนามประสบความสำเร็จมาแล้ว และวาดฝันให้แก่เกาะรัตนโกสินทร์ได้ทัดเทียมหรือล้ำหน้าได้

แต่มิติแห่งการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยเคยโด่งดัง เช่นการที่ชาวต่างชาตินิยมมาคลุกคลีกับร้านค้า แผงอาหารริมถนนคนเดิน สตรีทฟู้ดเช่นประตูน้ำและถนนข้าวสาร กำลังจะมลายหายไปกับการจัดระเบียบริมทางเท้า ที่ กทม. ภายใต้ mindset หรือจิตสำนึกความเรียบร้อยในระบอบอำนาจเบ็ดเสร็จจากรัฐประหาร

กับการท่องเที่ยวแบบสนุกสนานเฮฮาในธรรมชาติ อย่างการลุยป่าเขากูนังมูลูในมาเลเซีย การล่องแพสำราญที่วังเวียงในลาว หรือการดำน้ำเกาะเต่า และฟูลมูนปาร์ตี้ชายหาดเกาะพะงัน ที่จุดหมายในประเทศไทยกลายเป็นสถานที่ต้องห้าม เกาะแห่งความตายไปแล้ว

ชื่อเสียของเกาะเต่าในอ่าวไทย กลับมาเป็นเป้าวิพากษ์อีกครั้งเมื่อนักท่องเที่ยวหญิงสาววัย ๑๙ ปีชาวอังกฤษไปเปิดโปงเรื่องชั่วร้ายที่เธอประสบระหว่างท่องเที่ยวหาความสำราญบนเกาะเต่าของไทยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
 
หนังสือพิมพ์ประเภทแท้ปลอยของอังกฤษอย่างน้อยสองฉบับ ประโคมข่าวเหตุการณ์ที่หญิงสาวฝรั่งถูกมอมยาแล้วข่มขืนบนชายหาดของเกาะเต่า หลังจากไปดื่มที่ร้านฟิสช์โบว์บาร์และลีโอบาร์ “ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีในตอนเช้าก็ปรากฏว่าตัวเองนอนเปลือยเปล่าอยู่บนหาดทรายรี ข้างๆ มีชายคนหนึ่งนอนอยู่ด้วยแต่ต่อมาหลบหนีหายไป

ผู้เสียหายระบุว่ารุดแจ้งความกับตำรวจอำเภอเกาะพะงันว่าถูกกระทำชำเรา แต่เจ้าหน้าที่กลับเพิกเฉย และลงบันทึกเพียงว่าเป็นเหตุลักทรัพย์ มีโทรศัพท์มือถือไอโฟน ๗ และเงินสดราว ๓,๐๐๐ บาทถูกขโมยไป”


ไม่ว่าทางการตำรวจไทยจะแถลงแก้ตัวอย่างไร ชื่อเสียของเกาะเต่าแต่เมื่อครั้งนักท่องเที่ยวสาวและเพื่อนชายถูกฆาตกรรมโหดบนชายหาดทรายรีเช่นกัน เมื่อปี ๒๕๕๗ ที่เป็นข่าวอื้อฉาวจับแพะหนุ่มหม่องสองนาย ยัดข้อหาและรีบตัดสิน แก้ผ้าเอาหน้ารอดจนเป็นที่ดูแคลนต่อกระบวนการยุติธรรมไทยไปทั่วโลก ก็ยังคงเคลือบอยู่กับภาพลักษณ์ประเทศไทย

แม้กระทั่งในสังคมไทยเอง เหตุการณ์ที่เกิดในค่ายทหารจังหวัดตรัง ที่เด็กชายวัย ๗ ขวบถูกทหารกระทำชำเรา แล้วมารดาของเด็กร้องเรียนหลังจากที่ทางกองทัพพยายามปิดปากด้วยค่าตอบแทน ๓ แสนบาท

สุดท้ายที่ความยุติธรรมตาม พันเอกวินธัย สุวารี โฆษก ทบ. อ้าง คือคณะกรรมการวินัยของกองทัพลงโทษด้วยการจำคุกผู้กระทำผิด ๑๕ วัน และสั่งพักงานโดยไม่จ่ายเงินเดือนอีก ๑๕ วัน หวังให้จบแค่นั้นนั่นหรือ

ยังมีกรณีที่พลทหารรุ่นพี่เกิดความหมั่นไส้ไอ้เณรรุ่นน้อง เลยจัดการซ่อมและซ้อม (สองกรรมวิธีธำรงวินัยในหมู่ทหาร) “สั่งให้เอาหัวปักดินและผลัดกันเตะเข้าที่ชายโครงคนละ ๑ ครั้ง และเตะไปอีก ๒ ครั้ง” จนทำให้พลทหารคชา พะชะ อาการปางตาย หมอแจ้งว่ามีโอกาสรอดชีวิตได้เพียง ๓๐%

 
แล้วคณะทหารยังมีการนำคณะแพทย์มาแถลงเรื่องนี้ ว่าตรวจไม่พบแม้แต่รอยฟกช้ำใดๆ บนร่างของพลทหารเข้ม อีกทั้งพลทหารรุ่นพี่ที่กระทำทารุณกรรมสามคนไปกราบขอโทษต่อแม่ของพลทหารเข้ม

ก็มิได้ทำให้วัฒนธรรมของการข่มเหงอย่างเหี้ยมโหดแบบทหารพ้นมลทินความผิด และความจำเป็นที่ประชาชนพลเมืองธรรมดา จักต้องล้มล้างไปให้สิ้นซากวันใดวันหนึ่งอย่างเร็วไว