ไอ้ที่ ประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกกับ ‘รูม
๔๔’ ว่า “พอแล้ว โดนด่าพอแล้ว จริงๆ ผมทำแทบตาย
ผมได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้อะไรขึ้นมา โดนด่าอย่างเดียว” น่ะไม่จริงมั้ง
วันที่ ๓๐ ส.ค. นี่ สนช.เขาจะประเคนให้อีก “ตลอด ๕ ปี
รวมได้รับอนุมัติงบประมาณราว ๙.๓๘ แสนล้านบาท” สำหรับกระทรวงกลาโหมในยุค คสช.
เพราะจะมีการพิจารณารวบรัดวาระ ๒ และ ๓ รวด
ประทับตรายางให้กับงบรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๒ ที่รัฐบาลคณะยึดอำนาจขอ
แม้จะมีการสลับไพ่ให้งงกันเล็กน้อย คือบอกว่าตัดออกไป ๒๔,๒๒๒ ล้านกว่าๆ จากตัวเลขเดิม
แต่เอาจำนวนเดียวกันเป๊ะนี่ละไปปะที่อื่น
วงเงินของจริงจึงไม่เปลี่ยนไปจาก ๓ ล้านล้านบาท
สุขสันต์โรงเรียนนายร้อย จปร. แถมได้เศษได้เลยจากงบฯ กลางที่ตั้งเพิ่มขึ้นอีก ๙
พันล้านบาท คงจำกันได้นะว่างบฯ กลางนี่ตั้งไว้ให้รัฐบาลใช้สบายมือ
ไม่ต้องผ่านกระบวนการอนุมัติของสภา
นอกเหนือจาก “กระทรวงกลาโหมตั้งเพิ่มขึ้นอีก ๓๐๗ ล้านบาท
สำหรับสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม เงินอุดหนุนการบริหารองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ๑๓๘
ล้านบาท กับ ‘กองทัพบก’ ด้านการเสริมสร้างกำลังกองทัพ ๑๖๙
ล้านบาท”
ถ้าจะเอาสถิติ ๕ ปีภายใต้ท้อปบู๊ท คสช. “รวมใช้เงินไปแล้วทั้งสิ้น
๑๔ ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณทุกปีรวม ๒.๑ ล้านล้านบาท”
แล้วอย่างนี้ที่ก่นว่ากล่าวหารัฐบาลที่แล้ว ทำประเทศเสียหายด้วยโครงการประชานิยมเอื้อชาวนา
กลายเป็นว่าแต่เขา อิเหนากินเองไปฉิบ ยิ่งเมื่อสมาชิกพรรคเพื่อไทย เรืองไกร
ลีกิจวัฒนะ ตั้งข้อสังเกตุแฉอีกว่า มีกลิ่นตุๆ
กับการเปิดซองเสนอซื้อข้าวที่ไม่ใช้ในการบริโภคของคนจำนวน ๒๔๕,๐๗๗ ตัน
และข้าวที่ไม่ใช้บริโภคทั้งคนและสัตว์อีก ๒๒,๓๔๑ ตัน (ในวันที่ ๒๙ และ ๓๐ สิงหา)
ที่ประวิตรว่าไม่ได้อะไรจึงเป็นการไขสือมากกว่า “หากพิจารณารายการที่จะเปิดประมูลจะพบว่า
ข้าวสารส่วนใหญ่เป็นข้าวสารที่มาจากโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร...
ดังนั้นที่มีการกล่าวหามาตั้งแต่เดือน พ.ค. ๒๕๕๗ ว่าข้าวในโครงการรับจำนำข้าวสมัยนายกฯ
ยิ่งลักษณ์ มีการเสื่อมสภาพเป็นจำนวนมากนั้น จึงอาจมีพิรุธน่าสงสัย” แถมมีข่าวเผยว่าข้าวหายไปจากบัญชีอีกร่วมล้านตัน
“ทราบมาตั้งแต่หลังการยึดอำนาจเมื่อ ๒๒ พ.ค. ๒๕๕๗ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถตรวจสอบให้ได้ข้อยุติแต่อย่างใด
ซึ่งเรื่องนี้มีผลกระทบต่อการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว
และการระบายสต็อกข้าวสารในปัจจุบันด้วย” นายเรืองไกรกล่าว
รายละเอียดข้าวนาปีเท่าไร ข้าวนาปรังมากไหม ดูที่ https://www.khaosod.co.th/politics/news_1489172
แล้วจะพบว่าสต็อกข้าว ๓ รายการ ๑๕๔ ตัน (๒๗+๓๗+๙๐) น่าจะเป็นข้าวสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ อีกด้วย
ข้อมูลชนิด ‘ตอผุด’ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้วเหล่านั้น
ทำให้เห็นว่ารัฐบาล คสช. ที่มาจากคณะทหารยึดอำนาจนั้น เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายทางการเมืองใช้เอาผิดแก่รัฐบาลเลือกตั้ง
เพื่อพวกตนได้ครองอำนาจ
แม้กระทั่งถึงจุดที่ประชาชนพากันเซ็งกับเศรษฐกิจระดับปากท้องชาวบ้านฝืดเคืองไปถ้วนทั่ว
ก็อ้างการเพิ่มของจีดีพี ที่ได้มาจากการถลุงทุ่มงบประมาณจนขาดดุลติดต่อกันมาตลอดสี่ปี
ว่าเป็นผลงานเลอเลิศ ที่ไหนได้เป็นการอ้างอย่างบิดพริ้ว ในเมื่อการอยู่กินของประชากรไม่ได้ดีเหมือนตัวเลขจีดีพี
การประเมินสภาพเศรษฐกิจไทยในยุค คสช.ว่าเป็น “ประเทศมั่งคั่ง
แต่ประชาชนยากจน” พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต นักวิชาการฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณ
ที่เคยให้ท้ายทหารยึดอำนาจด้วยซ้ำไป กลับมาชี้จุดตกต่ำของเศรษฐกิจ
“ในปัจจุบันดูเหมือนเศรษฐกิจประเทศเราเติบโตมากขึ้น
รัฐบาลดูภาคภูมิใจกับตัวเลข GDP ที่สูงขึ้น แต่ชาวบ้านกลับรู้สึกว่าเศรษฐกิจของตนเองฝืดเคือง
เงินในกระเป๋าลดลง ใช้จ่ายไม่ค่อยพอในแต่ละวัน
หนี้สินก็ทวีเพิ่มขึ้น...
หนี้สินก็ทวีเพิ่มขึ้น...
เป็นตลกร้ายที่เกิดขึ้น” เช่นเดียวกับที่ Teerat Ratanasevi หัวหน้าทีมผู้ดำเนินรายการวิเคราะห์ข่าว
‘ทูไน้ท์ ไทยแลนด์’ ของว้อยซ์ทีวี ให้ข้อคิด
“รัฐบอกว่าเศรษฐกิจดี GDP พุ่ง
แต่คนเล็กคนน้อยไม่รู้จักหรอกคำว่า GDP บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าการค้าขายสองสามปีนี้แย่ลง
คนไม่มีเงินซื้อของ พอถามว่าอยากฝากอะไรให้รัฐบาลมั้ย”
กลายเป็นของต้องห้าม บ้างตอบว่า “ไม่กล้าพูด”
บางคนถามด้วยซ้ำ “พูดได้เหรอ”
ก็เพราะวิธีการปกครองอย่างกดขี่เลือกข้าง
สร้างอาณาจักรแห่งความกลัวด้วยการยัดคดีโทษแรง (ทั้ง ม.๑๑๒ และ ม.๑๑๖) ให้กลุ่มคนที่ต่อต้านการใช้อำนาจอย่างเผด็จการของรัฐบาลคณะรัฐประหาร