วันอาทิตย์, สิงหาคม 26, 2561

สมควรแล้วที่จะ “โดนด่าอย่างเดียว” ๕ ปีภายใต้ท้อปบู๊ท คสช. ใช้เงินไปแล้ว ๑๔ ล้านล้านบาท

ไอ้ที่ ประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกกับ รูม ๔๔ว่า “พอแล้ว โดนด่าพอแล้ว จริงๆ ผมทำแทบตาย ผมได้อะไรขึ้นมา ไม่ได้อะไรขึ้นมา โดนด่าอย่างเดียว” น่ะไม่จริงมั้ง

วันที่ ๓๐ ส.ค. นี่ สนช.เขาจะประเคนให้อีก “ตลอด ๕ ปี รวมได้รับอนุมัติงบประมาณราว ๙.๓๘ แสนล้านบาท” สำหรับกระทรวงกลาโหมในยุค คสช.

เพราะจะมีการพิจารณารวบรัดวาระ ๒ และ ๓ รวด ประทับตรายางให้กับงบรายจ่ายประจำปี ๒๕๖๒ ที่รัฐบาลคณะยึดอำนาจขอ แม้จะมีการสลับไพ่ให้งงกันเล็กน้อย คือบอกว่าตัดออกไป ๒๔,๒๒๒ ล้านกว่าๆ จากตัวเลขเดิม แต่เอาจำนวนเดียวกันเป๊ะนี่ละไปปะที่อื่น

วงเงินของจริงจึงไม่เปลี่ยนไปจาก ๓ ล้านล้านบาท สุขสันต์โรงเรียนนายร้อย จปร. แถมได้เศษได้เลยจากงบฯ กลางที่ตั้งเพิ่มขึ้นอีก ๙ พันล้านบาท คงจำกันได้นะว่างบฯ กลางนี่ตั้งไว้ให้รัฐบาลใช้สบายมือ ไม่ต้องผ่านกระบวนการอนุมัติของสภา

นอกเหนือจาก “กระทรวงกลาโหมตั้งเพิ่มขึ้นอีก ๓๐๗ ล้านบาท สำหรับสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม เงินอุดหนุนการบริหารองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ๑๓๘ ล้านบาท กับ กองทัพบก ด้านการเสริมสร้างกำลังกองทัพ ๑๖๙ ล้านบาท”

ถ้าจะเอาสถิติ ๕ ปีภายใต้ท้อปบู๊ท คสช. “รวมใช้เงินไปแล้วทั้งสิ้น ๑๔ ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณทุกปีรวม ๒.๑ ล้านล้านบาท”


แล้วอย่างนี้ที่ก่นว่ากล่าวหารัฐบาลที่แล้ว ทำประเทศเสียหายด้วยโครงการประชานิยมเอื้อชาวนา กลายเป็นว่าแต่เขา อิเหนากินเองไปฉิบ ยิ่งเมื่อสมาชิกพรรคเพื่อไทย เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ตั้งข้อสังเกตุแฉอีกว่า มีกลิ่นตุๆ กับการเปิดซองเสนอซื้อข้าวที่ไม่ใช้ในการบริโภคของคนจำนวน ๒๔๕,๐๗๗ ตัน และข้าวที่ไม่ใช้บริโภคทั้งคนและสัตว์อีก ๒๒,๓๔๑ ตัน (ในวันที่ ๒๙ และ ๓๐ สิงหา)

ที่ประวิตรว่าไม่ได้อะไรจึงเป็นการไขสือมากกว่า “หากพิจารณารายการที่จะเปิดประมูลจะพบว่า ข้าวสารส่วนใหญ่เป็นข้าวสารที่มาจากโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...
 
ดังนั้นที่มีการกล่าวหามาตั้งแต่เดือน พ.ค. ๒๕๕๗ ว่าข้าวในโครงการรับจำนำข้าวสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ มีการเสื่อมสภาพเป็นจำนวนมากนั้น จึงอาจมีพิรุธน่าสงสัย” แถมมีข่าวเผยว่าข้าวหายไปจากบัญชีอีกร่วมล้านตัน

“ทราบมาตั้งแต่หลังการยึดอำนาจเมื่อ ๒๒ พ.ค. ๒๕๕๗ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่สามารถตรวจสอบให้ได้ข้อยุติแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้มีผลกระทบต่อการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว และการระบายสต็อกข้าวสารในปัจจุบันด้วย” นายเรืองไกรกล่าว

รายละเอียดข้าวนาปีเท่าไร ข้าวนาปรังมากไหม ดูที่ https://www.khaosod.co.th/politics/news_1489172 แล้วจะพบว่าสต็อกข้าว ๓ รายการ ๑๕๔ ตัน (๒๗+๓๗+๙๐) น่าจะเป็นข้าวสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกด้วย

ข้อมูลชนิด ตอผุด เกี่ยวกับข้อกล่าวหาโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้วเหล่านั้น ทำให้เห็นว่ารัฐบาล คสช. ที่มาจากคณะทหารยึดอำนาจนั้น เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายทางการเมืองใช้เอาผิดแก่รัฐบาลเลือกตั้ง เพื่อพวกตนได้ครองอำนาจ

แม้กระทั่งถึงจุดที่ประชาชนพากันเซ็งกับเศรษฐกิจระดับปากท้องชาวบ้านฝืดเคืองไปถ้วนทั่ว ก็อ้างการเพิ่มของจีดีพี ที่ได้มาจากการถลุงทุ่มงบประมาณจนขาดดุลติดต่อกันมาตลอดสี่ปี ว่าเป็นผลงานเลอเลิศ ที่ไหนได้เป็นการอ้างอย่างบิดพริ้ว ในเมื่อการอยู่กินของประชากรไม่ได้ดีเหมือนตัวเลขจีดีพี
 
การประเมินสภาพเศรษฐกิจไทยในยุค คสช.ว่าเป็น “ประเทศมั่งคั่ง แต่ประชาชนยากจน” พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต นักวิชาการฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณ ที่เคยให้ท้ายทหารยึดอำนาจด้วยซ้ำไป กลับมาชี้จุดตกต่ำของเศรษฐกิจ

“ในปัจจุบันดูเหมือนเศรษฐกิจประเทศเราเติบโตมากขึ้น รัฐบาลดูภาคภูมิใจกับตัวเลข GDP ที่สูงขึ้น แต่ชาวบ้านกลับรู้สึกว่าเศรษฐกิจของตนเองฝืดเคือง เงินในกระเป๋าลดลง ใช้จ่ายไม่ค่อยพอในแต่ละวัน
หนี้สินก็ทวีเพิ่มขึ้น...

เป็นตลกร้ายที่เกิดขึ้น” เช่นเดียวกับที่ Teerat Ratanasevi หัวหน้าทีมผู้ดำเนินรายการวิเคราะห์ข่าว ทูไน้ท์ ไทยแลนด์ ของว้อยซ์ทีวี ให้ข้อคิด

“รัฐบอกว่าเศรษฐกิจดี GDP พุ่ง แต่คนเล็กคนน้อยไม่รู้จักหรอกคำว่า GDP บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าการค้าขายสองสามปีนี้แย่ลง คนไม่มีเงินซื้อของ พอถามว่าอยากฝากอะไรให้รัฐบาลมั้ยกลายเป็นของต้องห้าม บ้างตอบว่า ไม่กล้าพูด” 

บางคนถามด้วยซ้ำ “พูดได้เหรอ” ก็เพราะวิธีการปกครองอย่างกดขี่เลือกข้าง สร้างอาณาจักรแห่งความกลัวด้วยการยัดคดีโทษแรง (ทั้ง ม.๑๑๒ และ ม.๑๑๖) ให้กลุ่มคนที่ต่อต้านการใช้อำนาจอย่างเผด็จการของรัฐบาลคณะรัฐประหาร

นั่นจึงสมควรแล้วที่จะ “โดนด่าอย่างเดียว” อย่างที่ประวิตรบ่น