วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 30, 2561

หากดูจากบทเรียนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯติดคุก ก็ยิ่งเห็นถึงความเสี่ยงของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ คดีทุจริต 396 โรงพัก ว่า “งานเข้า” เต็ม ๆ!




บทวิเคราะห์ : ป.ป.ช.ลุยแจ้งข้อหา คดีทุจริต 396 โรงพัก สัญญาณถึง “สุเทพ” ระวัง “ม่ายขันหมาก”







ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
ฉบับวันที่ 24 - 30 สิงหาคม 2561

เรียกว่า “งานเข้า” เต็มๆ สำหรับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี


หลังจากเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายสุเทพและพวกรวม 17 คน

กรณีทุจริตโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ หรือโรงพักทดแทน 396 แห่ง วงเงิน 5,848 ล้านบาท และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการอนุมัติโครงการก่อสร้างแฟลตที่พักตำรวจ 163 แห่งทั่วประเทศของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

คดีดังกล่าวมีคณะกรรมการ ป.ป.ช.เต็มองค์คณะเป็นอนุกรรมการไต่สวน จากนี้จะให้ผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม นำมาประมวล วิเคราะห์ ก่อนสรุปเสนอ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาให้เสร็จสิ้นภายในปี 2561

ต่อมาวันที่ 20 สิงหาคม นายสุเทพพร้อมด้วยนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ทีมทนายความ เข้าชี้แจงข้อกล่าวหาต่อ ป.ป.ช. พร้อมเอกสาร 94 หน้า เจ้าตัวระบุ เป็นข้อมูลเดียวกับที่เคยชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อเดือนมิถุนายน 2558

ก่อนหน้านั้น หลังรู้ว่าถูกป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาหนักในคดี 396 โรงพัก นายสุเทพก็ได้เปิดไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊ก 4 วันติดต่อกัน ตั้งแต่ 16-19 สิงหาคม ก่อนเข้าชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ด้วยตนเองวันที่ 20 สิงหาคม

การชี้แจงของนายสุเทพ จุดประสงค์หลักก็เพื่อสื่อสารทำความเข้าใจโดยตรงกับบรรดาแฟนเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งมีผู้ติดตามอยู่ประมาณ 2.7 ล้านคน


การไลฟ์สดแบบรัวๆ สะท้อนถึงอาการเดือดเนื้อร้อนใจของนายสุเทพในระดับแตกต่างจากคดีความอื่นๆ ไม่ว่าคดีกบฏ อั้งยี่ซ่องโจร จากการนำม็อบ กปปส. ชุมนุมชัตดาวน์เมื่อปี 2556-2557 และขัดขวางการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2557


รวมทั้งกรณีสั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553

เนื้อหาการไลฟ์สดตลอด 4 วันของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รวมถึงการให้สัมภาษณ์กับสื่อที่หน้าสำนักงาน ป.ป.ช. ก่อนเข้าชี้แจงข้อกล่าวหา

นอกเหนือจากการนำเอกสารหลักฐานต่างๆ มาแสดงเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ยังได้เรียกร้องให้ ป.ป.ช.รีบสรุปเรื่องส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อจะได้ต่อสู้คดีโดยเร็ว

เนื่องจากขณะนี้นายสุเทพเป็นผู้ร่วมจัดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือ รปช. และอยู่ระหว่างการชักชวนคนเข้าร่วมพรรค ตั้งเป้าเดินสายให้ครบทั้ง 77 จังหวัด

ดังนั้น หาก ป.ป.ช.ปล่อยให้เรื่องยืดยาวออกไป อาจกระทบต่อการปลุกปั้นพรรค รปช.ได้ และยังอาจทำให้เกิดข้อพิรุธว่าการหยิบยกคดี 396 โรงพักขึ้นมาเล่นงานในช่วงนี้

เป็นการเตะตัดขา ทำลายคะแนนนิยมทางการเมืองหรือไม่

เนื่องจากข้อกล่าวหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นข้อกล่าวหาร้ายแรง มีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต “เรื่องนี้เดิมพันสูง ถ้าผมผิดก็เอาชีวิตไปเลย”

นายสุเทพยังเชื่อว่าเรื่องนี้มีการตั้งธงไว้แล้วว่าต้องเอาเข้าคุกให้ได้

หลายช่วงหลายตอนในการชี้แจง นายสุเทพยังเหวี่ยงแหลากเอา 2 อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) 1 อดีตรักษาราชการแทน ผบ.ตร. กับอีก 1 อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. เข้ามาเกี่ยวข้อง

ไล่ตั้งแต่ที่มาที่ไปโครงการ ซึ่งริเริ่มในสมัย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น ผบ.ตร. เมื่อปี 2552 มี พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ขณะนั้น เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาจัดจ้าง

ซึ่งการพิจารณาเห็นสมควรให้จ้างโดยส่วนกลาง เปิดประกวดราคาครั้งเดียว แต่แยกเสนอราคาเป็นรายภาค คือภาค 1-9 ทำสัญญา 9 สัญญา โดยให้แต่ละภาคประกาศเชิญชวนผู้รับจ้างในพื้นที่เข้าร่วมประกวดราคา

ต่อมาเมื่อ พล.ต.อ.พัชรวาทพ้นตำแหน่ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เข้ามาทำหน้าที่รักษาการ ผบ.ตร. จึงได้ทำเรื่องเสนอเปลี่ยนแปลงแก้ไขจากการแยก 9 สัญญารายภาค รวมศูนย์เป็นสัญญาเดียว ผู้ประกอบการรายเดียว

อ้างเหตุผลเพื่อความถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และเป็นไปตามกฎหมายงบประมาณปี 2553 ที่ออกหลังจากอนุมัติโครงการครั้งแรกไปแล้ว





นายสุเทพได้ลงนามเห็นชอบตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ

มีการตั้งข้อสังเกตว่า การชี้แจงของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ

เป็นการ “โยนบาป” ให้กับ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาการ ผบ.ตร. รับไปคนเดียวเต็มๆ

ส่วนการที่บริษัทผู้ชนะประมูลไม่สามารถก่อสร้างโรงพัก 396 แห่งได้ทันตามกำหนดนั้น อดีตรองนายกฯ ยังระบุ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

อีกทั้งความล่าช้าก็อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ควบคุมการก่อสร้าง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการทำสัญญาและการอนุมัติเปลี่ยนวิธีการประมูล

นอกจากนี้สิ่งที่ชี้ว่านายสุเทพพยายามขยายประเด็นให้เป็นเรื่องการเมืองคือ การซัดไปถึง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ อดีตผู้ช่วย ผบ.ตร. ประธานคณะกรรมการพิจารณาจัดจ้างโครงการขณะนั้น

ว่าต่อมา พล.ต.อ.พงศพัศได้มาเป็นผู้สมัครพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แข่งกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์

อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์อ้างว่า ตอนนั้นพรรคเพื่อไทยยกกรณี 396 โรงพักขึ้นมาโจมตีว่ามีการทุจริต ก็เพื่อหวังผลทำลายฐานคะแนนเสียงพรรคประชาธิปัตย์

อย่างไรก็ตาม ในประเด็นของ พล.ต.อ.พงศพัศ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า

การอ้างอิงของนายสุเทพ เกิดความสับสนในตัวเอง เพราะเคยระบุไว้ว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ประธานคณะกรรมการพิจารณาจัดจ้างโครงการ เห็นสมควรในการแยกสัญญาเป็นรายภาค 1-9 และ พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร.ขณะนั้นก็เห็นด้วย

ก่อนที่นายสุเทพจะลงนามเปลี่ยนแปลงแก้ไข เป็นแบบรวมศูนย์สัญญาเดียว ตามที่ พล.ต.อ.ปทีป รักษาการ ผบ.ตร.ชงเรื่องเสนอมาหลังจาก พล.ต.อ.พัชรวาทพ้นตำแหน่งไปแล้ว

การพยายามโยงเรื่องนี้เข้ากับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. กล่าวหามีการเมืองอยู่เบื้องหลัง จึงเป็นเรื่องค่อนข้างเลื่อนลอย และขาดน้ำหนักน่าเชื่อถือ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหานายสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่ไม่แจ้งข้อกล่าวหากับตนเอง ทั้งที่ขณะนั้นตนเองดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

น่าจะเป็นเพราะ ครม.เป็นเพียงผู้อนุมัติเฉพาะหลักการว่าจะทำอะไรบ้าง ส่วนการเปลี่ยนแปลงจากการแยก 9 สัญญารายภาค มาเป็นการรวมสัญญาเดียว ไม่มีการเสนอมายังนายกฯ และ ครม.ในตอนนั้น

แต่เสนอตรงไปที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง อนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอมา


แน่นอนว่าการถูกกล่าวหาในคดีทุจริต 396 โรงพักและแฟลตตำรวจ 163 แห่ง ย่อมส่งผลสะเทือนไม่เพียงแต่กับตัวนายสุเทพแบบโดดๆ แต่ยังส่งผลไปถึงอนาคตของพรรครวมพลังประชาชาติไทย


เมื่อเร็วๆ นี้ในวันประชุมเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค นายสุเทพประกาศอย่างมั่นใจว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทยจะได้เป็นรัฐบาลแน่นอน

“หลังเลือกตั้งให้แต่งตัวรอขันหมากได้เลย”

แต่แล้วการมาของคดีทุจริตก่อสร้าง 396 โรงพัก อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์

นอกจากทำให้กลุ่มมวลชนนกหวีดเกิดความหวั่นไหวสั่นคลอนศรัทธาในตัวผู้นำ ยังอาจเป็นเหตุผลให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นข้ออ้างลอยแพ เพื่อจะได้ไม่โดนครหาไปด้วย

ยิ่งหากดูจากบทเรียนของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ภายหลังการรัฐประหารของกองทัพเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็ยิ่งเห็นถึงความเสี่ยง


โอกาสที่พรรครวมพลังประชาติไทยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ จะเป็นม่ายขันหมาก

เริ่มปรากฏให้เห็นบ้างแล้ว