อ้า มาแล้วเช็คเปล่าปี ๖๒ ให้ คสช.ถลุง ทั้งที่งบฯ ‘สอง
ป.’ (ป้อม-ป็อก) กลาโหมกับ มท.ไม่เพิ่ม ศึกษาและ คลังยังคงเดิม
แอบไปเพิ่มของ ป.๑ ประเยด ‘งบฯ กลาง’
พี่เค้าฟาดใกล้ๆ ๕ แสนล้าน
วานนี้ (๓๐ ส.ค.) ตอนบ่ายโมงครึ่ง ๒๐๖ สนช. ลิ่วล้อ คสช.
ตีเช็คเปล่าให้นาย ๔๗๑,๐๐๐ ล้านบาท ไว้ซื้อทุเรียนกินกันปีหน้า
เพราะคะแนนท่วมท้นไม่มีค้านไม่มีท้วงสักคน แค่ ๒ ไม่ออกเสียง จากงบประมาณปี ๒๕๖๒
ทั้งหมด ๒.๙ ล้านล้านกว่า
“ทั้งนี้มีสนช.สลับกันขึ้นมาอภิปรายแสดงความเห็นไม่ถึง ๕ คน”
โดยเฉพาะนายธานี อ่อนละเอียด เป็นคนละเอียดมาก พ่อคุณ พ่อมหาจำเริญถามซอกแซกหลายเรื่อง
แล้วมาลงเอยว่า “ตัดงบประมาณลงบางส่วน” ทำไม
(https://www.matichon.co.th/politics/news_1109243 และดูรายละเอียด ใครได้เค้ก ใครได้ปลามันที่ https://www.facebook.com/iLawClub/photos/a.10150540436460551/10160926033405551/?type=3&theater)
แย้มนิด กองทัพเดินด้วยเค้ก ๒๒๗,๐๐๐ ล้าน คลังยังคงกินขนมปัง
๒๔๒,๐๐๐ ล้าน ศึกษาเศร้าหน่อยลดไปสองพันล้าน แต่ก็ยังทำให้
สนช.ดูดีที่จัดให้มากที่สุดกว่าใคร ๔๘๗,๐๐๐ ล้าน ส่วน ‘ปลามัน’
โน่นเฮียตู้บเค้า เอางบฯ กลาง ๔๗๑,๐๐๐ ล้านไว้ลงพื้นที่ตรวจน้ำลด
ว่าจะมีตอผุดที่ไหนบ้าง
อ้อ แล้วงบฯ กลาโหมยังคงทำสถิติขึ้นต่อเนื่อง ๕ ปี
ไม่ให้เสียหน้าคณะยึดอำนาจ ถึงจะไม่ลด ไม่เปลี่ยนวงเงิน
ก็อาจน้อยไปนิดที่ต้องเจียดให้ ‘จิตอาสา ๙๐๔’ ไปใช้สอนวิชาจงรักภักดีตามมหาวิทยาลัย น่าจะได้ผลเพราะวิธีการสอนล้ำมาก
แบบที่ Pravit Rojanaphruk @PravitR เล่าไว้บนทวิตเตอร์ Aug 28 “บรรยายเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์กับประเทศไทยโดยหน่วยจิตอาสา
904 ที่ธรรมศาสตร์มีการขอให้ผู้ฟังปิดตาขวาเพื่อรับรู้ว่า ร.9 ทรงงานเช่นไร
ตอนถามตอบไม่มีใครถาม”
(และห้ามฮา) อย่างเดียวกับที่ องค์กรต้านคอรัปชั่น ACT
สรุปผลงาน ๗ ปี ทีเด็ดทั้งนั้น เช่นว่าทำให้ประชาชน ๙๙ เปอร์เซ็นต์ “เห็นว่าคอร์รัปชันไม่ใช่เรื่องไกลตัวและ
ไม่ยอมรับรัฐบาลที่เก่งมีผลงานดีเด่น แต่ทุจริต”
แต่ถ้าเป็นรัฐบาลชุดแย่งอำนาจตัวแทนประชาชนละก็ ดีเยี่ยม “ผมให้คะแนน
100% ในส่วนของความตั้งใจที่จะปราบปรามการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง” นายประมนต์
สุธีวงศ์ ประธานใช้ลิ้นผสมน้ำลายปาดแผลบให้คะแนน
ทั้งที่ “ยังติดปัญหาด้านคนข้างกายของท่านนายกฯ
และระบบของข้าราชการไทยที่มีการทำงานล่าช้า ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาในการปลดล็อคต่อไป”
อีกทั้ง “เรื่องนาฬิกาหรู และแหวนเพชร ทางองค์กรฯ ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ไม่ได้เลิกติดตามผลแล้วแต่อย่างใด
ซึ่งในตอนนี้ยังติดอยู่ที่เหตุผลบางประการจึงยังไม่เห็นความคืบหน้าในช่วงนี้”
เอาไว้ครบรอบ ๑๔ ปีค่อยแย้มพรายก็ได้ ตามที่พี่ๆ รู้สึกสบายก็แล้วกัน
ไม่รู้จะเอาฮาไปถึงไหน และไม่รู้อีกเหมือนกันเวลาคิดอ่านทำการงานสาธารณะ
พวกบริกรบริการของ คสช. เขาใช้อะไรคิด สมอง อารมณ์ หรือง่ายๆ ใช้หัวแม่เท้าตรองเอา
ขนาดประธานคณะกรรมการญาติวีรชน ๒๕๓๕ ยังอดไม่ได้ต้องแย้งว่า “ภาคประชาชนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
และเห็นว่ารัฐบาลสอบตกเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น เพราะประชาชนยังคาใจปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลนี้ในหลายเรื่อง”
นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ พูดตรงๆ “ไม่อยากให้ใช้องค์กรต่อต้านคอรัปชั่นเป็นเครื่องฟอกขาวให้กับรัฐบาล
เพราะในยุคข้อมูลข่าวสาร และโซเชียลมีเดีย
ประชาชนทราบดีว่ารัฐบาลมีข้อสงสัยในเรื่องทุจริตอย่างไร และในเรื่องใดบ้าง”
พวกลิ่วล้อบริกรด้านกฎหมายกับบริการด้านสาธารณสุข
ไม่ได้ห่างจากกันนักเลย อย่างเรื่องที่จะแก้ พรบ.ยาให้พยาบาลจ่ายยาเองได้
นี่สงสัยใช้ไส้ติ่งคิด ชนิดพวกหมอๆ ทั้งหลายออกมาท้วงกันจ้าละหวั่น
ยกตัวอย่างแพทย์ปฏิรูป
(ก่อนเลือกตั้ง) นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ
จ.สงขลา เขียนเฟชบุ๊คชี้ให้เห็นว่า
การขายยาต้องบ่มไว้ด้วยหลักการคุ้มครองผู้บริโภค “และตรวจสอบกันเองระหว่างวิชาชีพ”
กับต้องให้เภสัชกรเต็มเวลาเท่านั้นจ่ายยาให้ “คนอื่นวิชาชีพอื่นมาขายยาแทนไม่ได้
(พร้อมทั้ง) เภสัชกรจะจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์เท่านั้น จะหยิบยาขายยาเองไม่ได้”
อันนี้ อจ.กานดา นาคน้อย @kandainthai
ต่อยอดให้ว่า “จากการสำรวจล่าสุด
ประเทศที่หมอและพยาบาลจ่ายยาไม่ได้มีดังนี้ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อิตาลี
สวิสเซอร์แลนด์ (และ 18 hours ago “สำรวจเพิ่ม
เยอรมันก็ไม่ให้หมอและพยาบาลจ่ายยา”)
หมอไทยนี่ทำหลายอย่างจัง
หมอจ่ายยาก็ได้ วางแผนเศรษฐกิจแนะนำค่าแรงขั้นต่ำก็ได้ อบรมศีลธรรมแทนพระก็ได้ #มืออาชีพ”
มิหนำซ้ำ ทั้งมวล ในประเทศ คสช. “ไม่มีใบขับขี่จะปรับเป็นหมื่น
ไม่มีใบประกอบวิชาชีพเภสัชกรจะให้จ่ายยาได้” (คอมเม้นต์ของ ชำนาญ จันทร์เรือง @chamnanxyz)
จึงสงสัยว่า “เพราะมีแนวโน้มที่แก้ พ.ร.บ.ยา
เพื่อเอื้อเจ้าสัว คือให้วิชาชีพทางสุขภาพอื่นๆ สามารถจ่ายยาได้”
หมอสุภัทรเปิดกล่องดวงใจ คสช. “นั่นหมายความว่า
ในร้านสะดวกซื้อที่กำลังขยายให้มีมุมเภสัชกรขายยาทุกมุมเมือง
จะสามารถเปิดกว้างให้เจ้าสัวจ้างแพทย์ พยาบาล เทคนิคการแพทย์
จะลามถึงนักวิชาการสาธารณสุขด้วยไหมก็ไม่รู้”