วันจันทร์, มกราคม 30, 2560

คำสั่งทรั้มพ์ อย่างดีก็ ‘ลุกลี้ลุกลน’ อย่างชั่วอาจ ‘ชักศึกเข้าบ้าน’





คำสั่งทรั้มพ์ อย่างดีก็ ‘ลุกลี้ลุกลน’ อย่างชั่วอาจ ‘ชักศึกเข้าบ้าน’

วงการเมืองอเมริกันปั่นป่วนตลอดสุดสัปดาห์ เมื่อประธานาธิบดีดอแนลด์ ทรั้มพ์ออกคำสั่งทางบริหารยุติรับผู้ลี้ภัยเป็นการชั่วคราว ๑๒๐ วัน ห้ามผู้ลี้ภัยจากซีเรียเข้าประเทศเด็ดขาด และยับยั้งการอนุญาตประชาชนจาก ๗ ประเทศมุสลิมเข้าประเทศเป็นเวลา ๙๐ วัน

ประเทศมุสลิมทั้ง ๗ คืออิหร่าน อิรัก ลิเบีย โซมาเลีย ซูดาน ซีเรีย และเยเมน





แม้ว่าแกนนำพรรครีพับลิกันในคองเกรสจะสนับสนุนคำสั่งของประธานาธิบดีในที ไม่ว่าจะเป็นประธานสภาผู้แทนฯ พอล ไรอัน หรือผู้นำเสียงข้างมากในเซเนท มิทช์ แม็คคอนเนิล แต่ก็ไม่วายมีเสียงตำหนิออกมาหลายราย

วุฒิสมาชิกแม็คคอนเนิลเองยังอดไม่ได้ที่จะเตือนให้ประเทศสหรัฐใช้ความระมัดระวังอย่างสูงในการปฏิบัติตามคำสั่งนั้น “ประเทศของเราไม่มีการทดสอบในเรื่องศาสนา” หัวหน้ารีพับลิกันในสภาสูงกล่าวกับรายการโทรทัศน์เอบีซี





สองวุฒิสภาชิกรีพับลิกันคนดัง จอห์น แม็คเคน แห่งอริโซน่า กับ ลินซี่ย์ แกรห์ม แห่งเซ้าท์แคโรไลน่า ออกแถลงการณ์ร่วมกันโจมตีคำสั่งทรั้มพ์นี้ว่า “ไม่ได้ทำการตรวจสอบมาให้ดีเสียก่อน และจำทำให้มองเห็นเป็นว่าสหรัฐหันหลังให้แก่มุสลิมที่เสี่ยงชีวิตด้วยการเป็นล่ามให้แก่นายทหารและนักการทูตอเมริกัน”

“เหนืออื่นใด เราเป็นห่วงว่าคำสั่งทางบริหารนี้จะกลายเป็นการทำให้ตัวเองบาดเจ็บเสียเอง ในกระบวนการต่อสู้กับพวกก่อการร้าย...

มันจะช่วยให้ผู้ก่อการร้ายหาพวกเพิ่มได้ง่ายขึ้น แทนที่จะทำให้ระบบความมั่นคงของเราดีขึ้น”

แน่ละ ทรั้มพ์ไม่รั้งรอที่จะตอบโต้ทางทวิตเตอร์ทันควันว่าวุฒิสมาชิกสองคนนี้ “แหย...น่าเสียใจที่เขาทั้งสองอ่อนปวกเปียกในเรื่องอิมมิเกรชั่น-คนเข้าเมือง”

(https://www.nytimes.com/…/republicans-congress-trump-refuge…)

ไม่เท่านั้น ยังมีสมาชิกคองเกรสในสังกัดรีพับลิกันอีกหลายคนเรียงแถวกันออกมาตำหนิการออกคำสั่งของทรั้มพ์ อีกสองวันต่อมาท่ามกลางการออกมาประท้วงตามสนามบินใหญ่ๆ ของประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ สนามบินเจเอฟเค นิวยอร์ค และแอลเอเอ็กซ์ ลอส แองเจลีส

วุฒิสมาชิก บ็อบ คอร์เกอร์ แห่งเทนเนสซี ประธานกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ บอกว่าแม้เขาจะสนับสนุนคำสั่งนี้ แต่ก็เห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งเป็นไปอย่างไม่ได้เรื่อง “รัฐบาลจำเป็นต้องทำการแก้ไขในทันทีทันใด โดยเฉพาะเกี่ยวกับผู้ที่ถือกรีนคาร์ด ‘ใบเขียว’ หรือมีสถานะผู้อยู่อาศัยถาวรในอเมริกา

วุฒิสมาชิก คอรี่ การ์ดเนอร์ แห่งโคโลราโด ประธานคณะกรรมาธิการวุฒิสภารีพับลิกันแห่งชาติชี้ว่าเป็นคำสั่งกว้างเกินไปเหมือนคลุมถุง เช่นดียวกับวุฒิสมาชิก ลามาร์ อเล็กซานเดอร์ แห่งเทนเนสซี ติว่าถึงจะไม่ใช่เป็นการทดสอบทางศาสนาก็เกือบจะเป็นอย่างนั้นแล้วละ

ส่วนวุฒิสมาชิก ร้อบ พอร์ตแมน แห่งโอไฮโอ แนะว่าควรที่จะมีลักษณะอเมริกันดั้งเดิมคือ “ยินดีต้องรับทั้งผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ”

ทางด้านสมาชิกสภาไมเคิล แม็คคอล ประธานกรรมาธิการความมั่นคงบ้านเกิด ‘โฮมแลนด์ เซคเคียวริตี้’ ยอมรับว่าจำเป็นต้องมีการแก้ไขคำสั่งนี้เสียหน่อย ขณะที่สมาชิกสภา วิล เฮิ้ร์ด แห่งเท็กซัส อดีตสายลับซีไอเอ วิพากษ์ตรงๆ ว่า

“มาตรการนี้เป็นการแสดงออกถึงความระแวงไม่ไว้ใจ ที่จะทำให้ผู้ที่เป็นพันธมิตรของเราไม่อยากยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมต่อสู้ และนี่ย่อมทำให้อเมริกาต้องเสี่ยงภัย”

จนกระทั่งในวันอาทิตย์รัฐบาลทรั้มพ์เริ่มเสียงอ่อยลงบ้าง ประธานาธิบดีแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรว่า นี่ไม่ใช่มาตรการด้านศาสนา แต่เป็นการสร้างความปลอดภัยแก่ประเทศ ถึงกระนั้นพรรคเดโมแครทฝ่ายค้านก็ยังออกมาเรียกร้องเกือบจะพร้อมเพรียงกันให้ทรั้มพ์ยกเลิกคำสั่งนี้เสีย

ชาร์ล ชูเมอร์ ผู้นำเดโมเครทในวุฒิสภาประกาศว่าเป็นคำสั่งที่ “ใจร้ายและไม่เป็นอเมริกัน” ส่วน แนนซี่ เพโลซี่ หัวหน้าเดโมแครทในสภาล่างประกาศสนับสนุนสหภาพอิสรภาพมหาชนอเมริกัน ‘เอซีแอลยู’ ซึ่งทำการยื่นฟ้องรัฐบาลทรั้มพ์ต่อศาล

โดยที่ศาลรัฐบาลกลางหลายแห่งได้มีคำสั่งยับยั้งการเนรเทศคนมุสลิมออกนอกประเทศในบางพื้นที่

ที่ปรึกษาทำเนียบขาวแถลงเพิ่มเติมว่าในกรณีคนที่ถือกรีนคาร์ดเดินทางมาจากประเทศมุสลิมทั้งเจ็ด ให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองใช้วิจารณญานผ่อนผันให้เข้าประเทศได้เป็นรายๆ ไป เช่นเดียวกับคนเหล่านี้จะเดินทางออกนอกประเทศ ควรปรึกษาสถานกงสุลเสียก่อน

(http://www.latimes.com/…/la-na-pol-trump-green-card-reversa…)

ย้อนไปเมื่อวันพุธ (๒๕ ม.ค.) ประธานาธิบดีทรั้มพ์ยังได้ลงนามคำสั่งเริ่มโครงการก่อสร้างกำแพงสูงปิดกั้นชายแดนติดต่อประเทศเม็กซิโกระยะทาง ๒ พันไมล์ พร้อมทั้งประกาศว่าจะลงโทษท้องที่ซึ่งเรียกกันว่า “เมืองซ่อนตัว” ด้วยการตัดงบประมาณช่วยเหลือ

ศูนย์วิจัยเพื่อศักดิ์ศรีสาธารณะ ‘the Center for Public Integrity’ กล่าวถึงโครงการสร้างกำแพงไว้ว่า “ตั้งแต่ทศวรรษ ๑๙๙๐ เป็นต้นมา ได้มีการสร้างปราการปิดกั้นชายแดนแล้วหลายต่อหลายส่วนทั้งในพื้นที่แคลิฟอร์เนียและเท็กซัส





ส่วนชายแดนด้านรัฐอริโซน่านั้นเต็มไปด้วยทะเลทรายกันดาร ยากแก่การเดินทางข้ามแดน และทำการก่อสร้างกำแพง รวมทั้งการดูแลรักษา ชนเผ่าอินเดียนแดง โทโฮโน โอออดัม ซึ่งอยู่ติดชายแดนด้านเมืองทูซอน เป็นระยะทางประมาณ ๗๕ ไมล์ ประกาศไม่ยอมให้มีการก่อสร้างกำแพงในพื้นที่ของตน

เช่นเดียวกับข้ออ้างของรัฐบาลทรั้มพ์ว่ามีท้องที่ปกป้องผู้อพยพลี้ภัย ว่าเป็นวาทกรรมมโนเพ้อฝันของทรั้มพ์ ความจริงแล้วไม่มีท้องที่ไหนสามารถสกัดกั้นหรือหลีกเลี่ยงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางได้ เพียงแต่ตำรวจบางท้องที่ปฏิเสธที่จะทำตัวเป็นสายสอดส่องจับกุมคนต่างด้าวนอกกฎหมายให้แก่กองตรวจคนเข้าเมือง

มารีลเลน่า ฮินเคปี ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์กฎหมายคนเข้าเมือง ‘เอ็นไอแอลซี’ กล่าวว่า “ประธานาธิบดีทรั้มพ์ทำให้ผู้อพยพเป็นเหมือนไม่ใช่คน และกระจายคำโกหกพกลม...คำสั่งที่ออกมานี้เป็นทั้งสุดโต่ง ไม่เกิดผลแล้วยังสิ้นเปลืองมากเกินไป”

(https://www.publicintegrity.org/…/trumps-immigration-orders…)

ทรั้มพ์ยืนกรานข้อเรียกร้องเดิมจะให้ประเทศเม็กซิโกเป็นผู้จ่ายค่าก่อสร้างกำแพงดังกล่าว (ซึ่งประมาณว่าจะต้องใช้งบปรมาณถึง ๒๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์) ซึ่งประธานาธิบดีเอ็นริเก้ พีน่า นีโต้ ของเม็กซิโกก็ตอบย้ำคำเดิมอีกว่าไม่มีทาง และได้ระงับกำหนดการพบปะกับทรั้มพ์ที่เดิมจะมีในอาทิตย์นี้ไปแล้ว

รัฐบาลทรั้มพ์ก็มีความคิดใหม่จะหาเงินมาใช้สร้างกำแพงด้วยการขึ้นภาษีสินค้าขาเข้า และปรับระบบภาษีการค้าระหว่างประเทศใหม่ ให้ภาษีสินค้าเข้าสูงกว่าสินค้าออก

แน่นอนว่า นั่นจะทำให้ค่าครองชีพในอเมริกาถีบตัวสูงขึ้นไปอีก ความเดือดร้อนจะไปตกแก่ผู้บริโภค พวกผู้ใช้แรงงาน ผิวขาว ที่เป็นกำลังสำคัญออกเสียงให้ทรั้มพ์ชนะการแข่งขันเป็นปรธานาธิบดีนั่นเอง