คดีลักเล็กขโมยน้อยที่ญี่ปุ่นได้กลายเป็นยุทธศาสตร์ของชาติไปแล้ว เพราะ พวก รมว. คสช. เรียงหน้ากันมาปกป้อง
ทั่นหนึ่ง รมช. ศึกษาธิการโอดว่าเรื่องรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาจิ๊กรูปประดับผนังของโรงแรมในเกียวโต (ซึ่งแหล่งข่าวผู้สันทัดกรณีที่อยู่ย่านนั้นฟันธงว่าไม่ใช่รูปดาราเอวีมีอก) แล้วโดนตำรวจญี่ปุ่นจับไปฟ้องร้องคดีนั้น
“ขออย่าตำหนิหรือทับถมสถาบันข้าราชการ เราช่วยกันขบคิดให้หนักเป็นเบา...ขอ...มองเป็นเรื่องของตัวบุคคล เป็นพฤติกรรมเฉพาะตัว ที่คงจะมีแนวคิดและพฤติกรรมที่ไม่เหมือนใคร”
อ้าวก็มันเป็นเรื่องส่วนตัว ความชั่วของคนๆ หนึ่ง พอทำความผิดแล้วไหงคนระดับรัฐมนตรีต้องเรียงแถวออกมาปกป้องกันใหญ่ ถึงได้ว่าออกมาทำกันให้เป็นเรื่องของชาติ ให้ต่างประเทศจับเอาไปเป็นประเด็นว่าประเทศไตแลนเดียนี้เรื่องลักขโมย ถ้าเป็นข้าราชการละก็เรื่องจิ๊บจ้อย
แล้วยัง รมว.ต่างประเทศจ้อบ้างว่า “กระทรวงการต่างประเทศก็ช่วยเหลือเต็มที่...ยอมรับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องดีงามและไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ
มันก็เสียและไม่ดี เพราะคนไทยคนใดคนหนึ่ง เมื่อทำอะไรเป็นปัญหาก็ส่งผลกระทบกับคนไทยทั้งหลาย
หากยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงในการดำเนินชีวิต ปัญหาดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น”
(http://www.matichon.co.th/news/443040)
อ้าว ตายห่ นึกว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี่ใช้กับพวกยากจนเท่านั้น ระดับอธิบดี รองอธิบดีนี่เขาต้องพอเพียงด้วยเหมือนกันเหรอ ก็อย่างสำนักนายกฯ สมัยปนัดดา ก็ยังต้องใช้ไมโครโฟนหุ้มทองเลย
ที่มันร้าย คนระดับรองนายกฯ ฝ่ายกฎบัตรกฎหมายดันออกมาพูดว่า “การลักทรัพย์ไม่ใช่ความผิดวินัยร้ายแรง...เเละต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าตัวด้วย”
ทั้งนี้โดยอ้างกฎ กพ. “แต่หากการลักทรัพย์ใดที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงประเทศชาติและกระทบต่อส่วนรวม อาจเป็นความผิดวินัยร้ายแรงได้”
(http://www.springnews.co.th/th/2017/01/20164/)
ถ้าอย่างนั้นการไปขโมยของในญี่ปุ่นถึงขั้นตำรวจเขาจับตัวไปขึ้นโรงพักฟ้องความ ยังไม่เสียชื่อเสียงแก่ประเทศอีกหรือ เมื่อผู้กระทำผิดเป็นข้าราชการระดับสูงของประเทศ
Pavin Chachavalpongpun ดาราเฟชบุ๊คขบวนการประชาธิปไตยถึงได้บอกว่า “วิษณุชี้ ขรก. ขโมยไม่ใช่โทษร้ายแรง...ปวินถาม ตรรกะเหี้ยไรครับ?
เอาเถอะ อย่างไรก็ตาม ทั่นรองฯ วิษณุพุดด้วยว่า “กระทรวงพาณิชย์ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อให้ได้ความว่าถูกหรือผิด”
แม้อาจจะเป็นเพราะว่าถูก ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ออกแถลงการณ์หนักแน่น “กระทรวงพาณิชย์ต้องปลดรองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาโดยทันที เพื่อสร้างมาตรฐานทางวินัยและจริยธรรมของข้าราชการไทย...
แม้การกระทำดังกล่าวจะได้มีการเจรจาประนีประนอมยอมความ ยอมรับผิดและชดใช้ค่าเสียหายและจ่ายค่าปรับตามกบิลเมืองของประเทศญี่ปุ่นไปแล้วนั้น แต่ความดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลในทางภาพลักษณ์ต่อคนไทยหรือข้าราชการไทยทั้งประเทศ”
(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1485596511)
ไม่แค่นั้น อจ.ปวินโพสต์ต่อ “เก็บเห็ดในป่าติดคุกหัวโต ขโมยรูปที่ญี่ปุ่นรอดคุก ปูพรมแดงกลับไทย”
อันนี้มาจากข่าว ‘คมชัดลึก’ ละมั้งที่ให้รายละเอียดการเดินทางกลับไทย หลังจากที่กงสุลไทยโอซาก้าใช้ศักดาทางการทูตไปเจรจาขอตำรวจญี่ปุ่นผ่อนผันปล่อยตัวออกมา ไม่ต้องติดคุกถึง ๑๐ วัน
“นายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เดินทางกลับประเทศไทยวันนี้ ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 673 จากเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น...”
จึ่งได้มีคนไปคอมเม้นต์บนเพจของอาจารย์ปวินน่าฟัง “Henri Lamour :ความผิดจะเล็กน้อยลงตามตำแหน่ง ชื่อเสียง หรือฐานะทางสังคมครับ
อย่างข้าราชการรายนี้ ฟังจากรองนายกฯแล้ว คงไม่ถูกลงโทษถึงขั้นไล่ออกจากราชการ อย่างมากที่สุดคือให้ออกจากราชการเนื่องจากป่วย(ทางจิต?) ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ ก็กลับบ้านไปรับบำเหน็จบำนาญไปรักษาตัวอยู่บ้านสบาย
นึกถึงกรณีคล้ายๆกัน อองเดร มาลโรซ์ นักเขียนนักการเมืองชื่อดังของฝรั่งเศส เคยถูกจับข้อหาขโมยโบราณวัตถุในปราสาทบันทายศรีเมื่อปี พ.ศ.2467 แต่ก็วิ่งเต้นจนรัฐบาลอาณานิคมฝรั่งเศสยอมปล่อยตัว”
อีกคน “Attavit Panyapinyophol :ต่อไปเราจะสอนเด็กๆกันได้ยังไงครับอาจารย์ถ้าผู้ใหญ่ระดับนี้ออกมาบอกว่าการขโมยของเป็นเรื่องเล็กน้อย”
นั่นสิ การ์ตูน ‘ไข่แมว’ เขาถึงได้เขียนว่าเป็นการเสี้ยมสอนเยาวชนของชาติให้ลักเล็กขโมยน้อยได้ เพราะถ้าไปทำในต่างประเทศที่คิดว่าคนไทยไม่เห็น ถึงจะถูกจับได้ กระทรวงต่างประเทศก็ช่วยเต็มที่ให้หลุด