วันพฤหัสบดี, มกราคม 26, 2560

ชายเป็นใหญ่แล้วไงล่ะ !?!

กานดา นาคน้อย
25 มกราคม 2560

เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา ผู้หญิงกว่า 1 ล้านคนได้ออกมาแสดงพลังด้วยขบวนของผู้หญิง(Women’s March) ในกรุงวอชิงตันดีซีพร้อมกับผู้หญิงอีกหลายล้านคนตามเมืองต่างๆทั่วสหรัฐฯและทั่วโลก   เพื่อแสดงให้ประธานาธิบดีทรัมป์เห็นว่าเขาต้องคิดหนักถ้าอยากผลักดันนโยบายที่จำกัดสิทธิสตรี  บรรดาชาย(และหญิง)ที่สนับสนุนทรัมป์และอยากผลักดันนโยบายที่จำกัดสิทธิสตรีก็ต้องคิดหนักด้วย   อย่าคิดว่าชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอะไรก็ได้

1.   ชายเป็นใหญ่
ความเข้าใจผิดในกลุ่มคนไทยที่อยากได้ประชาธิปไตยบางกลุ่มว่าขบวนของผู้หญิงเหมือนกปปส.เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ     ฉันคิดว่า"ขบวนของผู้หญิง"ไม่โดนจริตคนไทยกลุ่มนี้เพราะค่านิยม "ชายเป็นใหญ่"แต่เขาอาจไม่รู้ตัว   บางคนอาจรู้ตัวแต่ไม่คิดว่าค่านิยมนี้เป็นปัญหาต่อพัฒนาการระบอบประชาธิปไตย    

แม้ว่าคนกลุ่มนี้นิยมอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ซึ่งเป็นนายกฯหญิงคนแรกของไทย   ความนิยมอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์มาจากอัตลักษณ์ความเป็นน้องสาวอดีตนายกฯทักษิณที่ตนนิยมอยู่แล้ว     บ้างก็นิยมอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่สวยและยิ้มหวานไม่พูดมากไม่พูดจาหยาบคาย    โดยรวมนายกฯยิ่งลักษณ์มีบุคลิกนางเอกละครที่กระทรวงวัฒนธรรมเห็นดีเห็นงามให้เป็นแม่พิมพ์ทางทีวีมาหลายทศวรรษ   ความนิยมอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่ได้สร้างความไว้วางใจกิจกรรมการเมืองที่นำโดยผู้หญิงที่ขัดกับภาพพจน์ผู้หญิงในใจ   ค่านิยมดังกล่าวมาจากการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะการส่งเสริมโดยกระทรวงวัฒนธรรมผ่านวรรณกรรม ละคร และภาพยนตร์

ค่านิยมดังกล่าวทำให้คนกลุ่มนี้ไม่พยายามทำความเข้าใจว่าอะไรทำให้ผู้หญิงกว่า 1 ล้านคนพร้อมใจกันมาแสดงพลัง ณ เมืองหลวงในจุดเดียวกันที่ประธานาธิบดีทรัมป์เพิ่งทำพิธีสาบานตนไปในวันก่อน   การนัดกันให้คนจำนวน 1 ล้านคนมาจากทั่วสารทิศในวันเวลาเดียวกันนั้นเป็นเรื่องง่ายหรือ?  ถ้าง่ายแล้วกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยไทยก่อนรัฐประหารทำได้ไหม?  หรือว่ายากก็เลยสรุปลวกๆว่าผู้หญิง 1 ล้านฟูมฟายเกินเหตุ? 

2.   หมวกแมวเหมียวสีชมพู
“ขบวนของผู้หญิง”ใช้ “หมวกแมวเหมียวสีชมพู” (Pussyhat) เป็นสัญลักษณ์  หมวกนี้เป็นหมวกไหมพรมสีชมพูมีหูแมวสองข้าง   ใครไม่ใส่หมวกมาก็ไม่เป็นไรแต่สนับสนุนให้ใส่เพราะทำให้เห็นชัดเจนเป็นกลุ่มก้อนและถ่ายรูปออกมาดูมีพลัง   สีชมพูเป็นสีสัญลักษณ์เพศหญิงในสังคมอเมริกัน  ส่วนคำว่า“แมวเหมียว”นั้นนำมาใช้เพื่อล้อเลียนทรัมป์  

ช่วงหาเสียงมีคลิปวีดีโอหลุดออกมาว่าทรัมป์พูดโอ้อวดเรื่องเพศกับพิธีกรชายคนหนึ่งตอนไม่ออกอากาศแต่มีคนแอบบันทึกไว้    เขาโอ้อวดว่าล่วงละเมิดหญิงสาวในอดีตอย่างภาคภูมิใจ   ประโยคเด็ดคือประโยคที่ทรัมป์พูดว่า “Grab them by the pussy. You can do anything.” แปลเป็นไทยว่า “จับพวกเธอที่...เลย ทำอะไรก็ได้”   ฉันจำเป็นต้องเซ็นเซอร์คำแปลของคำว่า pussy  ด้วย...เพื่อให้บทความนี้ผ่านมาตรฐานกระทรวงวัฒนธรรมไทยเพราะสะกดด้วย “ห”และ“สระอี”  คำว่า pussy เป็นศัพท์แสลงไม่สุภาพ   แต่ออกเสียงเหมือนสองพยางค์แรกของคำว่า pussycat ซึ่งแปลว่าแมวเหมียวและไม่ใช่ศัพท์ไม่สุภาพ   ฝ่ายศิลป์ของ“ขบวนของผู้หญิง”จึงประดิษฐ์คำว่า pussyhat ให้คล้องจองกับคำว่า pussycat  และผลิตหมวกแมวเหมียวสีชมพูมาใช้เป็นสัญลักษณ์และล้อเลียนทรัมป์ด้วย  

3.   โดนัลด์ ทรัมป์เหยียดเพศอย่างไร?
นอกจากกรณี“คลิปโอ้อวดจับ...”แล้ว   ทรัมป์พูดจาเหยียดเพศไว้มากมายหลายโอกาสโดยเฉพาะในที่สาธารณะ   ก่อนอธิบายประเด็นเหยียดเพศขออธิบายกติกาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯก่อนเพื่อให้เห็นว่าทรัมป์ใช้วิธีการหาเสียงอย่างไร  

ผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ของผู้ลงคะแนนเสียงทั่วประเทศ    แต่ขึ้นอยู่กับเสียงส่วนใหญ่ภายในมลรัฐ   ผู้สมัครที่ได้รับเสียงส่วนใหญ่ในมลรัฐฯจะได้โควต้าเสียงของทั้งมลรัฐเลย  เมื่อนับโควค้าเสียงรวมกันหลายมลรัฐแล้วถ้าได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของโค้วต้าเสียงรวมทุกมลรัฐก็ได้เป็นผู้ชนะ  ดังนั้นมูลค่าเสียงต่อคนในแต่ละมลรัฐไม่เท่ากัน   ทรัมป์เข้าใจจุดนี้ดีเพราะเขาเชี่ยวชาญด้านการตลาด   เขาจึงเน้นตีตลาดหาเสียงในมลรัฐที่มูลค่าเสียงต่อคนสูง กล่าวคือ“มลรัฐแดง” (Red state) ซึ่งเป็นฐานเสียงพรรครีพับลิกันเพื่อให้ตนได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน  และ“มลรัฐแกว่ง” (Swing state) ซึ่งไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคไหนชัดเจน  เขาไม่แยแส“มลรัฐน้ำเงิน”(Blue state)ซึ่งเป็นฐานเสียงพรรคเดโมแครตติดต่อกันหลายทศวรรษ  

ทรัมป์หาเสียงด้วยการกระตุ้นความโกรธของคนขาวที่ตกงานและคน(ทั้งขาวและไม่ขาว)ที่ไม่มีประกันสุขภาพจนมีโครงการประกันสุขภาพของประธานาธิบดีโอบามาหรือ“โอบามาแคร์”   เขาอาสายกเลิก“โอบามาแคร์”และทำโครงการใหม่ที่ราคาถูกกว่า   ส่วนประเด็นการตกงานเขาอธิบายว่าสาเหตุคือผู้อพยพ   สนธิสัญญาการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ที่ทำร่วมกับแคนาดาและเม็กซิโก  และจีนกดค่าเงินหยวน    โดยรวมเขาชี้นำว่าความทุกข์ยากทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในมลรัฐแกว่งเป็นความผิดของ“คนอื่นและสิ่งอื่น”  และอาสากำจัด“คนอื่นและสิ่งอื่น”แทน“กลุ่มการเมืองเก่า”ทั้งในพรรคตนและพรรคคู่แข่ง

ประเด็นที่ทรัมป์เสนอนั้นโต้เถียงกันได้อย่างผู้มีอารยะ อาทิ  เปรียบเทียบนโยบายของรัฐบาลมลรัฐต่างๆ  เปรียบเทียบความแตกต่างด้านทักษะของแรงงานและอุตสาหกรรมในมลรัฐต่างๆ  ประเมินค่าใช้จ่ายที่แรงงานต้องจ่ายเพื่อย้ายไปมลรัฐที่อัตราการว่างงานต่ำ ฯลฯ  แต่ทรัมป์เลือกใช้วาทกรรมเหยียดชาติพันธุ์และเหยียดเพศเพื่อกระตุ้นอารมณ์คนฟัง  อาทิ  เรียกคนเม็กซิกันว่าอาชญากรข่มขืน  เสนอให้ลงทะเบียนผู้อพยพที่นับถือศาสนาอิสลาม  วิจารณ์หน้าตานักการเมืองหญิงจากพรรคเดียวกันที่แข่งขันเป็นตัวแทนพรรค   ในอดีตทรัมป์ออกทีวีและพูดจาเหยียดเพศแม้กระทั่งลูกสาวของตนเองทำให้คนวิจารณ์กันจนโฆษกส่วนตัวต้องออกมาแก้ตัวว่าเขาพูดเล่น [1] 

ในฤดูหาเสียงผู้หญิงหลายคนออกมาเปิดเผยว่าเคยโดนทรัมป์ล่วงละเมิดทางเพศ  ทรัมป์ตอบโต้ว่าพวกเธอโกหกเพราะอยากดังและตั้งคำถามว่าทำไมถึงเพิ่งมาเปิดเผย   พวกเธอก็ตอบโต้ว่าเพราะเคยคิดว่าตนเป็นเพียงรายเดียวที่โดนล่วงละเมิดและเพราะคิดว่าทรัมป์ไม่เหมาะสมต่อตำแหน่งประธานาธิบดี   และตอบโต้ด้วยการฟ้องร้องทรัมป์ว่าหมิ่นประมาท   

4.   การตรวจสอบประธานาธิบดี
เนื่องจากมลรัฐสีน้ำเงินมีมูลค่าเสียงต่อคนต่ำกว่ามลรัฐแดงและมลรัฐแกว่งทรัมป์ก็ได้โควต้าเสียงมลรัฐมากกว่าคู่แข่งแต่ไม่ชนะเสียงส่วนใหญ่    เนื่องจากส่วนเสียงใหญ่ไม่มีผลทางกฎหมายโควต้าเสียงมลรัฐทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีโดยชอบธรรม   

การที่ทรัมป์ไม่ชนะเสียงส่วนใหญ่มีนัยยะสำคัญ  คือเป็นสัญญาณว่ามีคนจำนวนมากคอยตรวจสอบเขาหลังเลือกตั้งและระหว่างทำหน้าที่ประธานาธิบดี   ไม่ใช่ว่าเขาชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอะไรก็ได้   กระบวนการตรวจสอบจะดำเนินไปอย่างเข้มข้นและอาจทำให้เขาโดนถอดถอนก่อนครบวาระ 4 ปี   และการตรวจสอบเริ่มตั้งแต่ทรัมป์ยังไม่เข้ารับตำแหน่ง 

ในวันที่ 13 พฤศจิกายนหลังวันเลือกตั้งเพียง 5 วันรายการ 60 นาที (60 Minutes)ได้เชิญทรัมป์ไปออกทีวี   รายการนี้เป็นสารคดีสืบสวนและสัมภาษณ์บุคคลสำคัญจากสารพัดวงการทุกสัปดาห์  (อาทิ ประธานาธิบดี  ผู้ว่าฯแบงค์ชาติ  ผู้พิพากษาศาลฎีกา  นักกีฬา  นักร้อง นักแสดง ฯลฯ)   ดำเนินรายการมาตั้งแต่ปีพศ. 2511 และมีผู้ชมจำนวนมาก   พิธีกรมีประสบการณ์มากและมีรายได้ปีละหลายล้านเหรียญ   พิธีกรรายการนี้กล้าถามประเด็นสำคัญตรงๆและมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงนโยบายสาธารณะ

ในวันนั้นพิธีกรถามทรัมป์ประเด็นการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งตำแหน่งว่างลงเพราะเสียชีวิตไป 1 คน   ถามเขาว่าจะแต่งตั้งผู้พิพากษาที่จะกลับคำตัดสินคดีที่ใช้เป็นบรรทัดฐานว่าการทำแท้งไม่ผิดกฎหมายหรือไม่   ทรัมป์ไม่ยอมตอบคำถามตรงๆและเลี่ยงตอบว่าจะแต่งตั้งผู้พิพากษาที่ “สนับสนุนชีวิต” (Pro-life)   เมื่อพิธีกรถามซ้ำว่าผู้พิพากษาคนนี้จะกลับคำตัดสินคดีที่เป็นพื้นฐานการทำแท้งเสรีหรือไม่   เขาก็ยังไม่ตอบชัดเจนและเลี่ยงโดยการพูดถึงนโยบายปืนหน้าตาเฉย   พิธีกรจึงถามย้ำเป็นครั้งที่ คราวนี้เขาเลี่ยงไม่ได้แล้วตอบว่าจะให้เป็นการตัดสินของมลรัฐ [2] 

ผู้หญิงที่ดูรายการนี้ในวันนั้นหรือดูคลิปทางอินเตอร์เน็ตภายหลังก็รู้แล้วว่าการเหยียดเพศที่ทรัมป์แสดงออกไม่ใช่แค่ลมปาก   แต่วาจาเขาเป็นสัญญาณของนโยบายจำกัดสิทธิสตรีในอนาคต  คำว่า“สนับสนุนชีวีต”เป็นรหัสของคนสนับสนุนการยกเลิกสิทธิทำแท้งเสรี    ส่วนคนสนับสนุนสิทธิทำแท้งเสรีใช้รหัส“สนับสนุนทางเลือก” (Pro-choice)  คำตอบของทรัมป์แสดงว่าเขาอยากแต่งตั้งผู้พิพากษาที่อยากกลับคำตัดสินคดีดังกล่าวและจะทำให้มลรัฐต่างๆออกกฎหมายห้ามทำแท้งได้ตามที่ทรัปม์ตอบหลังพิธีกรถามซ้ำเป็นครั้งที่ 3   นอกจากผู้พิพากษาศาลฎีกาที่เสียชีวิตไป 1 คน  ตอนนี้ในจำนวน 8 คน (หญิง 3 คน ชาย 5 คน)ที่ยังมีชีวิตอยู่มี 2 คนที่อายุเกิน 80 ปีแล้ว   ถ้า 2 คนนี้เสียชีวิตภายใน 4 ปีข้างหน้าทรัมป์จะมีโอกาสแต่งตั้งผู้พิพากษาชายอนุรักษ์นิยมสุดขั้วเพื่อจำกัดสิทธิสตรีและสิทธิพลเมืองด้านอื่นอีกมากมาย

5.   สิทธิสตรีและสิทธิพลเมือง
สิทธิทำแท้งเสรีเป็นพื้นฐานของสิทธิสตรีเนื่องจากสิทธินี้หมายความว่า“กรรมสิทธิ์ร่างกายผู้หญิง”เป็นของเจ้าตัวไม่ใช่ของสามีหรือพ่อแม่  ดังนั้นผู้หญิงมีสิทธิตัดสินใจว่าอยากทำแท้งหรือไม่   ผู้หญิงอาจอยากทำแท้งด้วยเหตุผลทางสุขภาพ  ทางสังคมหรือทางเศรษฐกิจ หรือเหตุผลอื่นๆ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็มีสิทธิเลือกทำแท้ง  

สิทธิทำแท้งเสรีมาจากการตัดสินคดีโดยศาลฎีกาในปีพศ. 2516 ว่าการทำแท้งไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญทำให้รัฐบาลทุกมลรัฐไม่สามารถออกกฎหมายห้ามทำแท้ง  ก่อนหน้านั้นมีการเรียกร้องสิทธิพลเมืองอย่างกว้างขวาง  คนดำเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งตั้งแต่ปีพศ. 2497 จนได้สิทธิในปีพศ. 2508 ซึ่งเป็นปีที่สงครามเวียดนามปะทุ   สงครามเวียดนามก็นำไปสู่การประท้วงให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารเนื่องจากชายอายุน้อยโดนเกณฑ์ไปเสียชีวิตมาก   นักศึกษาทั้งชายทั้งหญิงจึงประท้วงจนรัฐบาลยอมยกเลิกการเกณฑ์ทหารในปีพศ. 2516

การเรียกร้องสิทธิสตรีที่สหรัฐฯเข้มข้นมากในช่วงปีพศ. 2503-2523 นอกจากชัยชนะด้านสิทธิทำแท้งเสรี   กลุ่มสตรีก็ผลักดันให้“การเลือกปฎิบัติด้วยเพศ”เป็นความผิดในบัญญัติสิทธิพลเมืองด้วย   ทำให้สตรีได้รับการคุ้มครองสารพัดด้าน อาทิ สิทธิลาคลอด สิทธิรับค่าจ้างเท่าเทียมกับชาย  สิทธิคุ้มครองการล่วงละเมิดทางเพศ  สิทธิฟ้องร้องสามีที่มีเมียน้อย  สิทธิฟ้องร้องเมียน้อย ฯลฯ  ชายอเมริกันที่มีเมียน้อยไม่กล้าเปิดเผยโจ่งแจ้งและหาทางหย่าก่อนโดนจับได้   เนื่องจากภรรยานำหลักฐานไปฟ้องร้องเรียกเงินชดเชยได้ไม่ยาก  ในกรณีที่มีลูกก็ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกด้วย  นอกจากนี้การเรียกร้องสิทธิสตรีก็นำไปสู่การเรียกร้องสิทธิของเลสเบี้ยน เกย์ คนรักร่วมสองเพศ และทรานซ์เช่นกัน


6.   จุดยืนทางการเมืองของขบวนของผู้หญิง
เนื่องจากการสิทธิทำแท้งเสรีเป็นพื้นฐานของสิทธิสตรี  แกนนำของ“ขบวนของผู้หญิง”จึงปฎิเสธไม่ให้กลุ่มผู้หญิงที่ต่อต้านการทำแท้งเสรีเข้าร่วมขบวนเมื่อได้รับการติดต่อขอร่วมขบวน   ผู้หญิงที่ต่อต้านการทำแท้งเสรีเปรียบเหมือน“ไส้ศึก”ในการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อสิทธิสตรี   มีบทบาททางการเมืองเหมือนทาสที่ยืนยันว่าระบบทาสดีมีนายทาสคุ้มครอง   และเหมือนคนอพยพที่สนับสนุนนโยบายกีดกันคนอพยพ   แน่นอนผู้หญิงที่ต่อต้านการทำแท้งเสรีย่อมมีสิทธิต่อต้าน   แต่ในเมื่อจุดประสงค์ตรงข้ามกันราวขาวกะดำย่อมเดินด้วยกันไม่ได้

จุดยืนด้านสิทธิสตรีทำให้“ขบวนของผู้หญิง”แตกต่างจากการประท้วงของกลุ่มพันธมิตรและกปปส.มาก   รวบรวมความแตกต่างระหว่าง “ขบวนของผู้หญิง”และกลุ่มพันธมิตรและกปปส.ได้ดังต่อไปนี้
ก)    กลุ่มพันธมิตรและกปปส.มีแกนนำหลักเป็นผู้ชาย   แม้กปปส..ให้ผู้หญิงบางคนมาเป็นแกนนำแต่แกนนำหญิงก็ไม่ใช่แกนนำหลัก   แกนนำหญิงของกปปส.สวยและยิ้มหวานคล้ายนางเอกละครทีวีเพราะหน้าที่ของเธอคือการแข่งขันกับอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ซึ่งมีบุคลิกคล้ายนางเอกละครทีวี   ที่สำคัญแกนนำหญิงของกปปส.เป็นสมาชิกพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมไม่ใช่พรรคก้าวหน้า  
ข)    กปปส.ส่งเสริมการเหยียดเพศ   มีผู้ปราศัยเป็นแพทย์ชายซี่งเสนอตัวให้บริการ“ทำรีแพร์”ให้อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์   เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ครอบครัวของแพทย์ชายผู้นี้ได้รางวัล “ครอบครัวประชาธิปไตย”  ฉันเดาว่าเป็นประชาธิปไตยที่ชายที่ยึดมั่นในค่านิยม“ชายเป็นใหญ่”ใฝ่ฝันจะอนุรักษ์ไว้ชั่วกัลปาวสาน
ค)    “ขบวนของผู้หญิง”ไม่ได้ยึดพื้นที่สาธารณะตามอำเภอใจตามสไตล์อภิชน   มีการขออนุญาตใช้พื้นที่สาธารณะและใช้ที่จอดรถบัสล่วงหน้าตามกฎหมาย  
ง)      “ขบวนของผู้หญิง”แนะนำให้สมาชิกสื่อสารกับสมาชิกสภาคองเกรสที่ในแต่มลรัฐ เช่น โทรศัพท์  ส่งไปรษียบัตร  ส่งจดหมาย  ไม่เชื้อเชิญปูพรมให้กองทัพสหรัฐฯเข้ามาทำรัฐประหาร   ไม่สนับสนุนทางลัดนอกกระบวนการประชาธิปไตยแบบกปปส.
จ)     “ขบวนของผู้หญิง”ไม่ต้องการล้มสภาคองเกรส  แต่จะยินดีมากถ้าสภาคองเกรสใช้กระบวนการถอดถอน (Impeachment) ทรัมป์จากตำแหน่งประนาธิบดีด้วยเหตุผลที่อยู่ภายในกติกา   “ขบวนของผู้หญิง”ทำให้สมาชิกสภาคองเกรสอุ่นใจว่ามีผู้หญิงจำนวนมากพร้อมจะให้รางวัลด้วยการเลือกพวกเขาเข้าสภาในการเลือกตั้งครั้งหน้าถ้าพวกเขาลงมติถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง

7.   ประชาธิปไตยคือกระบวนการไม่ใช่ทางลัดสั้นๆ
ทุกฝ่ายในการเมืองสหรัฐฯสำเหนียกดีว่ากระบวนการประชาธิปไตยไม่ได้สิ้นสุดที่การเลือกตั้ง   ประชาธิปไตยเป็นกระบวนการหลายขั้นตอนและแข่งขันกันด้วยตัวเลขทุกขั้นตอน    

ตัวเลขที่ใช้วัดพลังไม่ใช่แค่จำนวนคนเข้าชุมนุม  นอกจากจำนวนคนก็มีจำนวนรถบัสที่ขออนุญาตจอดรถเพื่อร่วมขบวนและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงวอชิงตันดีซี   จำนวนรถบัสที่ขออนุญาตจอดรถเพื่อร่วมขบวนของผู้หญิงสูงกว่าจำนวนรถบัสที่ขออนุญาตจอดรถเพื่อร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาบดีในวันก่อนถึง 5 เท่า    จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงวอชิงตันดีซีในวันนั้นก็สูงเกือบ 2 เท่าของจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินในวันก่อนซึ่งมีพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี

ทรัมป์ตอบโต้ขบวนของผู้หญิงทางทวิตเตอร์ในวันถัดไปว่า “ดูการประท้วงเมื่อวานแต่จำได้ว่าเพิ่งมีการเลือกตั้งไป  ทำไมพวกเธอไม่ไปเลือกตั้ง?”เพื่ออ้างความชอบธรรมจากผลเลือกตั้ง    แต่ไม่นานก็เปลี่ยนมาเขียนทวิตเตอร์ว่า “การชุมนุมโดนสงบเป็นลักษณะเด่นของประชาธิปไตย  แม้ไม่เห็นด้วยแต่ก็ยอมรับว่าประชาชนมีสิทธิแสดงความคิดเห็น”   ฉันเดาว่าทรัมป์ยอมถอยหลัง 1 ก้าวเพราะสื่อมวลชนตีแผ่การเปรียบเทียบตัวเลขรถบัสและตัวเลขจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงวอชิงตันดีซีอย่างชัดเจนและแสดงให้เห็นว่าฝ่ายทรัมป์แพ้หลุดลุ่ย

นอกจากตัวเลขจาก“ขบวนของผู้หญิง”ก็มีตัวเลขอีกมากมายมาประกวดแข่งขันกันไปเรื่อยๆ  อาทิ  โพลล์สอบถามความพึงพอใจประธานาธิบดี   โพลล์สอบถามความต้องการให้ทรัมป์เปิดเผยหลักฐานการเสียภาษี   ตัวเลขเกี่ยวกับธุรกรรมของธุรกิจในเครือทรัมป์  ตัวเลขผลงานเศรษฐกิจในอนาคต ฯลฯ  ตัวเลขไหนจะทำให้สภาคองเกรสตัดสินอภิปรายเพื่อลงมติถอดถอนทรัมป์ก็ยากจะคาดการณ์ได้   ถ้าทรัมป์ไม่โดนถอดถอนและไม่โดนลอบสังหารหรือเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุหรือโรคภัยเขาก็จะเป็นประธานาธิบดีถึงการเลือกตั้งครั้งต่อไปใน 4 ปีข้างหน้า
  
8.    การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ในไทย
การเมื่องเรื่องอัตลักษณ์ในไทยในทศวรรษที่ผ่านมาอ้างอิงภูมิศาสตร์ (เมือง vs ชนบท) วุฒิการศึกษา (ปริญญา vs ไม่มีปริญญา)  เชื้อชาติและอุดมการณ์ชาตินิยม  (ลูกจีนรักชาติ vs ลูกจีนไม่รักชาติและลูกคนไม่จีน)   แต่อัตลักษณ์ด้านเพศในการเมืองไทยเป็นอัตลักษณ์เชิงลบเสมอ  กล่าวคือ เพศอื่นโดนกดให้ต่ำกว่าเพศชาย อาทิ หญิงที่โดนโจมตีได้รับสมญานามว่า"กะหรี่"  ส่วนเกย์หรือทรานซ์ที่โดนโจมตีได้รับสมญานามว่า"อีตุ๊ด"หรือ"ตุ๊ดเฒ่า"  เกย์หรือทรานซ์ที่ต้องการพื้นที่ในสังคมจำนวนมากก็ยอมรับการเมืองเรื่องอัตลักษณ์แบบไทยๆเพื่ออ้อนวอนขอทางลัดไปสู่สิทธิสมรสตามกฎหมาย   ไม่พยายามต่อสู้ด้วยกระบวนการประชาธิปไตยแบบประเทศตะวันตก   

ฉันคิดว่าถ้านักกิจกรรมไทยไม่นำเสนอการเมืองเรื่องอัตลักษณ์ด้านเพศในเชิงบวก  ก็ยากจะปฎิรูปองค์กรการเมือง  องค์กรที่อิงค่านิยม"ชายเป็นใหญ่"ที่สุดคือกองทัพ  ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญซี่งทำหน้าที่คล้ายศาลฎีกาสหรัฐฯก็เคยมีผู้หญิงเพียงคนเดียวและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิไม่ใช่ผู้พิพากษา  (ศาลรัฐธรรมนูญมีปัญหาเชิงโครงสร้างหลายด้านไม่ใช่แค่ด้านเพศของตุลาการ)  คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนมีผู้หญิงแต่ก็เป็นเพียงเสือกระดาษราคาแพง   มหาวิทยาลัยไทยมีอธิการบดีผู้หญิงบ้างแล้วแต่ไม่ชัดเจนว่าอธิการบดีหญิงมีบิดาหรือสามีหรือพี่ชายหรือน้องชายที่มีเครือข่ายอำนาจมากน้อยแค่ไหน   

9.   ค่าเสียโอกาสของสังคมชายเป็นใหญ่
ผู้อ่านบางท่านอาจแย้งว่า “ค่านิยมชายเป็นใหญ่ไม่เป็นปัญหา  ญี่ปุ่นเป็นสังคมจารีตนิยมให้ชายเป็นใหญ่ยังพัฒนาได้” 

สังคมชายเป็นใหญ่ที่ญี่ปุ่นและไทยแตกต่างกันมาก    ในด้านการทหาร  ทหารญี่ปุ่นพยายามทำรัฐประหารครั้งสุดท้ายเมื่อ 72 ปีที่แล้วแต่ไม่สำเร็จหลังจากนั้นไม่เคยมีความพยายามทำรัฐประหารอีกเลย   นอกจากนี้กระบวนการคัดสรรชายที่เป็นใหญ่ในญี่ปุ่นต่างจากไทยมาก  คนญี่ปุ่นไม่คัดสรรชายผู้เป็นใหญ่ในองค์กรด้วยชาติกำเนิดและเส้นสายครอบครัวแต่แข่งขันกันด้วยความสามารถ  (ยกเว้นตำแหน่งจักรพรรดิและมกุฎราชกุมาร)  แม้แต่ธุรกิจครอบครัวก็ไม่ให้ความสำคัญกับชาติกำเนิดเท่าความสามารถ    ถ้าลูกชายไม่มีความสามารถก็รับคนนอกสกุลเข้ามาเป็นลูกบุญธรรมในสกุลเพื่อรับช่วงบริหารกิจการ  

ค่านิยมชายเป็นใหญ่ได้สร้างปัญหาโครงสร้างให้ญี่ปุ่นและบรรดาชายญี่ปุ่นยังแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้  นั่นคือปัญหาประชากรลดลงทำให้ขาดแคลนแรงงาน  การผลักภาระดูแลลูกให้ผู้หญิงในยุคที่เทคโนโลยีคุมกำเนิดก้าวหน้ามากก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงไม่อยากมีลูก  อัตราการเกิดของญี่ปุ่นอยู่ที่ 1.4% เท่านั้น  แม้รัฐบาลอาเบะใช้นโยบายส่งเสริมให้ผู้หญิงญี่ปุ่นเลิกเป็นแม่บ้านและหันมาทำงานนอกบ้าน  ผู้หญิงญี่ปุ่นก็ยังไม่เลิกเป็นแม่บ้านกันเท่าไรนัก   ค่าแรงผู้หญิงในหลายวิชาชีพยังต่ำกว่าผู้ชาย   สถานดูแลเด็กอ่อนและพี่เลี้ยงเด็กอ่อนก็ราคาแพง  และการทำงานกับผู้ชายที่เคยชินกับการเหยียดเพศก็ไม่น่าพิศมัย [3]

อัตราการเกิดของไทยสูงกว่าญี่ปุ่นนิดหน่อยคือ 1.5%  ส่วนสหรัฐฯและแคนาดามีอัตราการเกิด 1.8% และ 1.6% [3] สูงกว่าไทยแต่ก็ไม่ได้สูงกว่ามาก   อัตราการเกิดต่ำทำให้จำเป็นต้องนำเข้าแรงงานอพยพ    แคนาดาและเยอรมันรับผู้ลี้ภัยสงครามมากเพราะขาดแคลนแรงงานด้วยไม่ใช่ว่าทำเพื่อมนุษยธรรมล้วนๆ   ญี่ปุ่นพยายามเปิดรับผู้อพยพแต่ค่านิยมเหยียดชาติพันธุ์และเหยียดเพศก็ทำให้ผู้อพยพที่มีทักษะสูงจำนวนมากเลือกไปประเทศตะวันตกแทน

ค่าเสียโอกาสอีกอย่างคือการไหลออกของแรงงานทักษะสูงเพศหญิง เลสเบี้ยน เกย์ คนรักร่วมสองเพศและทรานซ์  ไปสู่ประเทศตะวันตกที่คุ้มครองสิทธิพลเมือง   ฉันเป็นหนึ่งในแรงงานอพยพดังกล่าว  ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฉันเลือกทำงานในสหรัฐฯคือการคุ้มครองสิทธิสตรีทั้งในและนอกที่ทำงาน  จากประสบการณ์ตรงฉันก็เคยโดนเลือกปฏิบัติแต่ฉันเรียกร้องสิทธิได้ไม่ยาก  ในด้านครอบครัวก็ไม่ต้องกังวลว่าสามีอาจแอบมีเมียน้อยเพราะกฎหมายคุ้มครองสิทธิภรรยาจริงๆ   ถ้าสามีขอหย่าก็จ้างนักสืบให้หาหลักฐานว่าสามีมีเมียน้อยหรือไม่  ถ้ามีก็ใช้หลักฐานเรียกเงินชดเชยได้ไม่ยาก 

ในไทยค่านิยมชายเป็นใหญ่นำไปสู่ปัญหาเมียน้อยซึ่งมีผลเชิงลบต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคล   แม้ปัจจุบันกฎหมายไทยไม่ยอมรับการจดทะเบียนซ้อนแต่กฎหมายนี้ก็อายุไม่ถึงศตวรรษ  เมียน้อยก็ยังเป็นเรื่องสามัญในสังคมไทย  (กรณี“เมียบุญธรรม”ที่โด่งดังไม่นานนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน)  ในสังคมเช่นนี้ภรรยาอาจไม่ใช้ทักษะเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพด้วยความกลัวว่าสามีจะมีเมียน้อย   ทำให้ระบบเศรษฐกิจเสียโอกาสใช้ทรัพยากรบุคคล   ความหึงหวงจนทำให้เกิดการฆาตกรรมก็ยิ่งทำให้เสียทรัพยากรบุคคลยิ่งขึ้นไปอีก

ผู้อ่านบางท่านอาจแย้งว่าค่านิยมพหุภรรยาช่วยเพิ่มอัตราการเกิด   แต่อย่าลืมว่าค่านิยมพหุภรรยาทำให้ผู้หญิงไทยบางกลุ่มเบื่อหน่ายชายไทยจนหันไปแต่งงานกับชายต่างชาติ   โลกาภิวัฒน์ทำให้ค่าใช้จ่ายเพื่อรู้จักและคบหาชาวต่างชาติถูกลงมาก   หญิงไทยก็มีโอกาสอพยพไปต่างประเทศโดยการแต่งงานกับชายต่างชาติมากขึ้น  ลูกของพวกเธอก็เพิ่มอัตราการเกิดของประเทศอื่น   ดังนั้นก็ยากที่จะสรุปว่าค่านิยมพหุภรรยาทำให้อัตราการเกิดสูงขึ้นหรือต่ำลง

บทสรุป
ชายไทยที่ยึดมั่นค่านิยม“ชายเป็นใหญ่”เป็นสรณะอาจยินดีที่แรงงานต่างเพศที่อยากได้สิทธิพลเมืองในด้านต่างๆอพยพไปอยู่ประเทศอื่นเพราะทำให้พวกเขาอนุรักษ์ระเบียบสังคมได้ง่าย   แต่ สังคมไทยก็จะจ่ายค่าเสียโอกาสต่อไป    ส่วนหญิงไทยที่อยากจัดตั้งเพื่อเรียกร้องสิทธิก็อาจเรียนรู้ได้จากกลยุทธต่างๆของ“ขบวนของผู้หญิง”ซึ่งจะมีการเคลื่อนไหวต่อไปในอนาคต

หมายเหตุ
เผยแพร่ครั้งแรกที่มติชนออนไลน์: http://www.matichon.co.th/news/440948
ติดตามข้อมูลและทัศนะจาก กานดา นาคน้อย ได้ที่เพจมายด์ https://www.minds.com/kandainthai


ที่มา:
[1] รวบรวมวาจาเหยียดเพศโดยทรัมป์: http://www.telegraph.co.uk/women/politics/donald-trump-sexism-tracker-every-offensive-comment-in-one-place/
[2] บทสัมภาษณ์โดนัลด์ ทรัมป์ในรายการ “60 นาที”: http://www.cbsnews.com/news/60-minutes-donald-trump-family-melania-ivanka-lesley-stahl/
[3] ข้อมูลอัตราการเกิด: http://data.worldbank.org/indicator/SP.DYN.TFRT.IN