ข้าราชการชั้นสูงไทยไปทำผิดกฎหมาย (ฐานลักขโมย) ในต่างประเทศ สถานทูตสถานกงสุลวิ่งวุ่นช่วยอำนวยความสะดวกจัดล่ามหาทนายให้อย่างดี
ด้านกระทรวงพาณิชย์ต้นสังกัดยกขบวนกันออกมาชี้แจง ตั้งอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ไปจนถึงรัฐมนตรีว่าการ
“ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์...ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณาและให้ความเป็นธรรม แต่ทั้งนี้ต้องรอผลการตรวจสอบจากประเทศญี่ปุ่นก่อน แต่หากผิดจริงก็จะมีการจัดการตามระเบียบขั้นตอนทางราชการ”
(http://news.thaipbs.or.th/content/259779)
อะไรกัน ขนาดนี้ยังไม่แน่ใจอีกหรือว่าผิดจริง ไม่จริงแค่ไหน จากข่าวหนังสือพิมพ์ซังเคชิมบุน
“ผู้ต้องสงสัยให้การว่า ช่วงเวลา 15.00น. ของวันที่ 23 ม.ค.ถึงเวลา 04.50น.ของวันที่ 24 ม.ค. ได้ปลดรูปภาพจากทางเดินของโรงแรม ชั้น 9-10 จำนวน 3 รูป มูลค่า 15,000 เยน หรือประมาณ 4,600 บาท”
เนื่องจากตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้วจึงดักจับตอนที่นายสุภัฒ สงวนดีกุล รองอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเช็คเอ๊าท์จากโรงแรม ตรวจกระพบภาพแขวนแสดง ๓ ชิ้นของโรงแรมชิ้นที่หายไป
ส่วนหนุ่มจบกฎหมายแต่สนใจทำคร้าฟเบียร์มากกว่า ถูกสรรพากรบุกจับกุมก่อนนำออกจำหน่ายล็อตแรก สั่งปรับ ๕,๒๐๐ บาท รอลงอาญา ๑ ปี มีนักข่าวถามนายกฯ ตู่ว่า “กฎหมายให้ประโยชน์กับกลุ่มทุนมากไปหรือไม่”
นายกฯ อ่างรั่ว (ราคา ๕ พันบาทไว้ใส่บัวหน้าทำเนียบ ใช้แค่สองวัน) ตอบว่า “ไม่เข้าใจแม่งถามได้ไงวะเนี่ย...เอ๊ะมันเกี่ยวตรงไหนวะ”
อ๊ะ มันต้องเกี่ยวสิฮะทั่น คือมันพอดีมีเรื่องคณะรัฐมนตรีชุด ๔ ที่พวกยึดอำนาจของทั่นตั้ง เพิ่งอนุมัติยืดอายุการเช่าใช้ศูนย์สิริกิติ์ออกไปอีกเท่าตัว เป็นเวลา ๕๐ ปี โดยไม่ต้องมีการแข่งขันประกวดราคาหรือติดประกาศสาธารณะแต่อย่างใด
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้แจงว่า “การทำลักษณะนี้ จะได้ประโยชน์ระยะยาว และได้เงินเพิ่มมากกว่าเดิม ๒๐,๐๐๐ กว่าล้านบาท จากเดิมที่ได้ ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้อาคารสถานที่ใหม่ด้วย นี่คือการปฏิรูป หรือไม่อยากได้ห้องประชุมใหม่ๆ ใหญ่ๆ”
(http://www.matichon.co.th/news/439260)
พูดเป็นเด็กเล่นตุ๊กตา ได้ตัวใหญ่กว่า เพิ่มราคาสูงอีกนิด หลังจากเขาตัดกินเค็กในตู้เย็นไปค่อนอันแล้ว
ช่วยไม่ได้ที่ใครๆ ย่อมมองว่าเอื้อประโยชน์เป็นพิเศษแก่เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของไทยเบฟผู้ผลิตเบียร์ช้าง ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์เป็นที่สองรองจากเบียร์ลีโอของบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่
และยังจ่ายเงินเดือนค่าที่ปรึกษาให้กับผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเดือนละ ๕ หมื่นบาท เข้าข่ายฉ้อราษฎร์บังหลวงเป้นเรื่องอื้อฉาว จนทำให้ สนง.ตรวจการแผ่นดินร้อนอาสน์
“มีหนังสือแจ้งพล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้ชี้แจงภายใน ๗ วัน กรณีมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ในอัตราเดือนละ ๕ หมื่นบาท”
(http://www.nationtv.tv/main/content/social/378532105/)
อย่างอดีตรัฐมนตรีคลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ถามว่าถ้างั้นเอาทางปฏิบัติแบบนี้ไปแทนระเบียบการเรื่องอื่นๆ กับทุกบรัท ทุกกิจการที่มีสัญญาเดิมอยู่แล้วได้ไหมล่ะ
“จะรวมไปถึงเรื่องสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และเรื่องธุรกิจดิวตี้ฟรีหรือเปล่า
ผมไม่เข้าใจว่ากระทรวงการคลังและกรมธนารักษ์จะมั่นใจได้อย่างไรว่า ประเทศชาติของเราได้รับประโยชน์สูงสุดที่พึงจะได้
ต้องระวัง มีความเสี่ยงอาจจะมีโทษเกิดขึ้นได้นะครับ รวมทั้งปัญหาด้านภาพพจน์ เพราะชาวบ้านยังจำได้ว่า ใครเป็นผู้ซื้อที่ดินมรดกของท่านนายกรัฐมนตรี”
(http://www.matichon.co.th/news/438469)
เรื่องเสี่ยเจริญรับซื้อที่ดิน ๙ แปลงของบิดาพล.อ.ประยุทธ์ ในราคา ๖๐๐ ล้านบาท ซึ่งบิดาได้ดอนเงิน ๕๔๐ ล้านบาทเข้าบัญชีของพล.อ.ประยุทธ์ หลังจากเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ยังอยู่ในความทรงจำของคนจำนวนมาก
ที่ดินรกร้างว่างเปล่าติดป้าย “ห้ามบุกรุก ตกปลา หรือกระทำการใดๆ” ขายให้บริษัท ๖๙ พร้อพเพอตี้ ซึ่งมีผู้ถือหุ้นหลักสี่ราย โดยสองรายใหญ่ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ในนามของกรรมการบริษัทในเครือข่ายของเสี่ยเจริญ มิหนำซ้ำเป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่บริทิชเวอร์จินไอสแลนด์ แหล่งฟอกเงินเสียด้วย
(http://www.isranews.org//item/35534-news_35534.html)
อย่างนี้ยังจะบอกว่าสถานการณ์ในประเทศไตแลนเดียภายใต้การครองเมืองของ คสช. สงบราบเรียบไหลลื่นดีอยู่ละหรือ