โดย กานดา นาคน้อย
อีเมล์ : dan.pariman@gmail.com
เพจมายด์ : https://www.minds.com/kandainthai
19 มกราคม 2560
เร็วๆนี้มีรายงานข่าวว่ารัฐบาลทหารไทยจัดทำงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาทต่อปี รวมกันหลายปีก็เป็นหลักล้านล้านบาท ข่าวนี้สอดคล้องกับข่าวในอดีตเกี่ยวกับภาระการคลังที่เพิ่มขึ้นมาจากการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและการจัดซื้ออาวุธ
สถิติยอดนิยมที่มีผู้นำเสนอในอดีตเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การเพิ่มรายจ่ายกองทัพคือสัดส่วนของรายจ่ายกองทัพต่อผลผลิตประชาชาติ(จีดีพี) ถ้าว่ากันด้วยสถิตินี้รายจ่ายกองทัพไทยก็เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของรายจ่ายกองทัพสหรัฐอเมริกา [1] แต่สถิตินี้ก็ไม่ได้บ่งชี้ว่ากลาโหมไทยหรือกลาโหมสหรัฐฯใช้จ่ายอย่างไร นำไปลงทุนเท่าไรและบริโภคเท่าไร ไม่บ่งชี้ว่ารายจ่ายกองทัพมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาคเอกชนอย่างไร
ความสามารถด้านศักยภาพการป้องกันประเทศไม่ได้วัดกันที่จำนวนนายพลหรือจำนวนเครื่องบินรบหรือจำนวนเรือดำน้ำที่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่วัดจากความสามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ รายจ่ายกองทัพในประเทศอุตสาหกรรมมีบทบาทในการส่งเสริมการผลิตอาวุธด้วยการส่งเสริมการวิจัยและลงทุนโดยบริษัทอาวุธ เช่น บริษัทผลิตเครื่องบินรบ บริษัทผลิตเรือดำน้ำ ฯลฯ บริษัทเหล่านี้ไม่ได้ผลิตแค่อาวุธและนำเทคโนโลยีการบินและการเดินเรือไปใช้ผลิตสินค้าเพื่อการพาณิชย์ด้วย เช่น บริษัทเครื่องบินรบก็ผลิตเครื่องบินพาณิชย์ด้วย ดังนั้นรายจ่ายกองทัพในประเทศอุตสาหรรมก็สร้างงานให้ภาคเอกชนด้วย
ยกตัวอย่างสหรัฐฯซึ่งเป็นมหาอำนาจทางการทหาร สหรัฐฯเป็นผู้ส่งออกอาวุธและเครื่องบินรายใหญ่ เมื่อวัดสัดส่วนการส่งออกอาวุธและเครื่องบินทั้งเครื่องบินรบและเครื่องบินพาณิชย์ของสหรํฐฯโดยสุทธิ (คือหักลบมูลค่านำเข้าแล้ว) สหรัฐฯส่งออกโดยสุทธิมาตลอด [2] ตั้งแต่ปี 2543 ถึงปี 2558 ยอดส่งออกสุทธิดังกล่าวอยู่ระหว่าง 6%-16% ของรายจ่ายของกองทัพสหรัฐฯ [3]
แต่ในกรณีของไทยยอดส่งออกสุทธิดังกล่าวติดลบมากกว่าเป็นบวก หมายความว่าไทยนำเข้าโดยสุทธิบ่อยกว่าส่งออกโดยสุทธิ ในรูปข้างล่างนี้ไทยส่งออกอาวุธและเครื่องบินในปี 2547 และ 2549-2553 ไม่ใช่ว่าไทยผลิตเครื่องบินเพื่อการส่งออกแต่ไทยขายเครื่องบินหรืออะไหล่เครื่องบินที่ซื้อมาในปีก่อนๆออกไปจึงนับว่าเป็นการส่งออก มีการส่งออกอาวุธบ้างแต่มีสัดส่วนต่ำมาก โปรดสังเกตว่าตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมายอดส่งออกสุทธิของไทยติดลบมาตลอด หมายความว่าไทยนำเข้าอาวุธและเครื่องบินโดยสุทธิตั้งแต่ปี 2554 ในปี 2558 ยอดนำเข้าสุทธิสูงถึง 50% ของรายจ่ายกองทัพ
ขอย้ำว่าสถิติส่งออกและนำเข้าเครื่องบินที่ใช้คำนวณในรูปนี้รวมทั้งเครื่องบินรบและเครื่องบินพาณิชย์ เพราะผู้ผลิตเครื่องบินรบก็ผลิตเครื่องบินพาณิชย์ด้วย และบทความนี้ต้องการนำเสนอผลกระทบต่อภาคการผลิตเพื่อส่งออก
นอกจากอุตสาหกรรมอาวุธและเครื่องบินแล้ว ยังมีอุตสาหกรรมอื่นที่ได้ประโยชน์จากรายจ่ายกองทัพ อาทิ อุตสาหกรรมอุปกรณ์สื่อสาร อุตสาหกรรมยา ฯลฯ แต่บทความนี้นำเสนอเพียง 2 อุตสาหกรรม ถ้ารวมอุตสาหกรรมอื่นเข้าไปด้วยก็จะเพิ่มมูลค่าส่งออกสุทธิของสหรัฐฯขึ้นไปอีก นอกจากนี้มูลค่านำเข้าที่ใช้ในการคำนวณนี้เป็นมูลค่าที่ผู้นำเข้าจ่ายให้ผู้ขายต่างชาติไม่ใช่มูลค่าที่จ่ายโดยผู้ใช้อาวุธและผู้ใช้เครื่องบิน มูลค่าที่จ่ายโดยผู้ใช้อาวุธและผู้ใช้เครื่องบินสูงกว่านั้นเพราะผู้นำเข้าย่อมบวกกำไรเข้าไปตอนขายให้ผู้ใช้
เนื่องจากรายจ่ายกองทัพสหรัฐฯมีผลเชิงบวกต่อการผลิต การส่งออก(และการสร้างงาน)ที่สหรัฐฯ จึงมีฐานเสียงและนักวิชาการที่สนับสนุนการเพิ่มรายจ่ายกองทัพสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกันก็มีฐานเสียงและนักวิชาการที่สนับสนุนการลดรายจ่ายกองทัพเพื่อนำงบประมาณไปใช้จ่ายด้านอื่น เช่น ใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาล ลงทุนด้านคมนาคมขนส่ง ฯลฯ กลุ่มไหนจะมีอิทธิพลต่อนโยบายก็แล้วแต่ว่าฐานเสียงฝ่ายใดมากกว่ากัน
แต่ในกรณีของไทย รายจ่ายกองทัพไทยไม่ได้ส่งเสริมการผลิตเพื่อการส่งออก ดังนั้นก็ยากที่จะอ้างอิงปัจจัยด้านเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนรายจ่ายกองทัพไทย
หมายเหตุ
[1] ที่มา : ธนาคารโลก http://data.worldbank.org/indicator/MS.MIL.XPND.GD.ZS
[2] ในฐานข้อมูล UN Comtrade โดยสหประชาชาติ รหัสอุตสาหกรรมอาวุธคือ HS code 93 และรหัสอุตสาหกรรมเครื่องบินคือ HS code 88: https://comtrade.un.org/data/
[3] ที่มา : ธนาคารโลก http://data.worldbank.org/indicator/MS.MIL.XPND.CN