วันจันทร์, กันยายน 04, 2566

อ่านแล้วจะเห็นว่า คุณทักษิณช่างใจร้ายต่อกระบวนการยุติธรรม



Lertchai Sirichai
September 1.

คุณทักษิณช่างใจร้ายต่อกระบวนการยุติธรรม
เราคงทราบกันดีถึงความตกต่ำของกระบวนการยุติธรรมบ้านเรา ซึ่งเราจะเห็นชัดเจน 2 เรื่อง
1) กระบวนการยุติธรรมมีลักษณะทางชนชั้น คือ คนรวยได้เปรียบคนจน หมายความว่าคนรวยจะมีโอการอดคดี แม้มีความผิดชัดเจน ในขณะที่คนจนมีโอกาสถูกคดีได้ง่าย เมื่อถูกคดีก็มักจะติดคุก แม้ความผิดหรือความชัดเจนในการทำผิดจะน้อยกว่าคนรวย หากคนรวยกับคนจนเป็นความกันคนจนมักจะแพ้ จนมีคำกล่าวที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธคือ “คุกมีไว้ขังคนจน” บางคนพูดประชดประชันมากกว่านี้ว่า “คุกมีไว้ขังหมากับคนจน”
ขณะนี้มีคลิปกำลังเผยแพร่ในออนไลน์ เป็นคลิปนักดนตรีกลุ่มชาติพันธุ์ ผมไม่รู้จักว่าเป็นใคร เขาแต่งตัวด้วยชุดของกลุ่มชาติพันธุ์ ร้องและใช้ดนตรีสำเนียงคำเมือง เนื้อเพลงมีดังนี้ครับ หากใครอยากฟังโปรดไปดูโพสต์ครั้งที่ผ่านมาของผม ผมได้แชร์การเล่นเพลงนี้ไว้แล้ว

คุกคอกที่ไหน มีไว้ขังคนทุกข์
บ่มีเงินซุกติ๊ดคุกแหงแก๋
ถ้ามีเงินล้านหว่านมันอย่างแห
ถึงมีคนแลหาทางออกหื้อ
ผิดหลายมาตราข้อหาเป็นตื้อ
ยังยกฟ้องหื้อคนรวยพ้นคุก
คนธรรมดาที่เกิดมาตุ๊ก
เงินบ่มีซุกติดคุกอย่างหมา
คนจนยากไร้เก็บเห็ดของป่า
ถูกนาบโตดมาเป็นคนบ่ดี
เข้าป่าล่าสัตว์ติดคุกเป็นปี๋
หาว่าจะอี้ก็มีเด๊อเจ้า
(พูด)……
2) กระบวนการยุติธรรมมักรับใช้ผู้มีอำนาจรัฐ/พรรคพวก และปกป้องกลไกรัฐ หมายความว่าผู้มีอำนาจรัฐหรือพรรคพวกหรือกลไกรัฐทำอะไรต่อประชาชน หรือกระทำการในเรื่องหนึ่งเรื่องใดโดยไม่สุจริตก็มักจะหลุดรอดความผิดตามกฎหมาย หรือหากถูกตัดสินว่ามีความผิดก็จะได้รับการดูแลอย่างดีรวมทั้งมีช่องทางให้ได้รับโทษเพียงเล็กน้อยหรือไม่ได้รับโทษเลย ซึ่งประชาชนตัวเล็กตัวน้อยไม่มีทางจะได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้
ลองพิจารณาคดีการเมืองตามมาตรา 112 เป็นตัวอย่าง เริ่มจากคุณวารุณี คุณเวหา ที่อดอาหารประท้วงอยู่ในคุกขณะนี้เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ประกันตัวดูก็ได้ แล้วย้อนไปถึงผู้ต้องหาคดีนี้ทุกคน แล้วพิจารณาแถลงการณ์หรือข้อเรียกร้องหลายครั้งของของเครือข่ายอาจารย์นิติศาสตร์และนักกฎหมาย จะเห็นถึงความพิกลพิการของกระบวนการยุติธรรมได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างความเลวร้ายของกระบวนการยุติธรรมมีมากมาย เล่าเท่าไรก็คงไม่หมด ทั้งหมดล้วนสะท้อนถึงความทุกข์ทนที่ประชาชนต้องถูกกระทำอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ภายใต้คำอ้างว่าความศักดิ์สิทธิ์ของกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมจึงอยู่ในสภาพที่ต้องการการปฏิรูป ไม่งั้นประเทศไทยไม่มีทางจะสร้างสังคมที่เป็นธรรมขึ้นมาได้
ปัญหากระบวนการยุติธรรมเห็นได้ทั้งจากตัวระบบและจากตัวคนที่อยู่ในระบบ ตัวระบบถูกทำให้มีอำนาจมากและอำนาจดังกล่าวกลับเป็นอำนาจที่ปกป้องคนรวยและคนมีอำนาจ ในขณะที่คนในระบบเป็นเหมือนกาฝากที่เกาะกินระบบเพื่อผลประโยชน์และการไต่เต้า
หากคุณทักษิณกลับประเทศอย่างสามัญชนทั่วไปเขาจะต้องติดคุก เพราะศาลตัดสินเด็ดขาดแล้ว 3 คดี มีโทษรวมทั้งหมด 8 ปี แต่เขากลับเข้าประเทศด้วยสิ่งที่เรียกว่า “ดีลลับ” ทำให้เขาเป็นทั้งมหาเศรษฐีและมีอำนาจหนุนหลัง ดังนั้นสิ่งที่เกิดกับเขาคือได้รับการน้อมรับจากคุก จาก รพ.ตำรวจ ทำให้เขาไม่ต้องถูกกล้อนผม ไม่ต้องใส่ชุดนักโทษ ไม่ต้องใส่กุญแจมือ ไม่ต้องเข้าคุก เพียงไปที่ รพ.ราชทัณฑ์ เขาก็ได้รับการปกป้องทั้งจากอธิบดี จากแพทย์ เขาไปที่โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไม่นาน ทางโรงพยาบาลก็ออกมามาแถลงว่าเขาเป็นโรคที่รุนแรงถึง 5 โรค เขาจึงไม่ต้องเข้าคุกแต่พักในห้องที่ทางโรงพยาบาลจัดไว้อย่างดี และอยู่เพียงครึ่งคืนก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลตำรวจโดยอ้างว่าเกิดแน่นหน้าอก ซึ่งทางโรงพยาบาลตำรวจก็อ้างว่าคุณทักษิณป่วยจริง จึงต้องรับตัวไว้รักษาโดยจัดให้อยู่ในห้องพิเศษ พร้อมทั้งเปิดทางให้ญาติพาไปรักษาต่อที่ รพ.เอกชนได้(ให้กรมราชทัณฑ์อนุญาต) นอกจากนี้ทางกรมราชทัณฑ์ก็บอกว่าใช้เวลาไม่นานการขอพระราชทานอภัยโทษของคุณทักษิณจะเรียบร้อย
ประชาชนโดยทั่วไปไม่เชื่อว่าคุณทักษิณป่วยจริง โดยมีเหตุผลมากมาย และคนจำนวนมากได้ตั้งคำถามกับกรมราชทัณฑ์ว่าทำไมนักโทษมากมายที่มีคุณสมบัติอย่างคุณทักษิณจึงไม่ได้รับอภิสิทธิ์อย่างคุณทักษิณบ้าง เช่น บุคคลที่สังคมเชื่อถืออย่างทิชา ณ นคร ได้ตั้งคำถามว่า “จนท.ราชทัณฑ์รู้ไหม ในคุก คนป่วย คนแก่ ต้องตายเพราะไม่มีโอกาสถึงมือหมอหรือหมอเฉพาะทางกี่ชีวิต” หรือที่มีผู้แชร์กันมากในออนไลน์ว่า “ป้านิดอายุ 74 ปี ถูกขังอยู่กี่เดือนแล้ว ควรได้สิทธิ์อายุเกิน 60 เช่นเดียวกับทักษิณ”
ผมนึกถึงชาวกะเหรี่ยงบางกลอย ผู้รักความเป็นธรรมคงจะรู้ถึงความทุกข์ยากของชาวบางกลอยที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐและกระบวนการยุติธรรมเป้นอย่างดี ผมขอตัดมาเหตุการณ์สำคัญล่าสุด คือเมื่อ 5 มีนาคม 2564 กองกำลังของอุทยานสนธิกำลังกับตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง รวมกว่า 100 นาย ได้บุกขึ้นไปจับกุมตัวชาวบ้านบางกลอยทีใจแผ่นดินกว่า 80 คน ในจำนวนนี้มีทั้งคนพิการ เยาวชน และหญิงแม่ลูกอ่อน ทั้งหมดถูกนำตัวลงมาสอบสวนที่อุทยานฯแก่งกระจาน โดยตลอดการสอบสวนทางอุทยานฯไม่ยอมให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ถูกจับกุม ไม่ยอมให้ใช้ทนายที่ทางญาติแต่งตั้ง (ทางกลุ่มทนายเพื่อสิทธิมนุษยชนส่งทนายเข้าไปช่วย) แต่ให้ใช้ทนายที่ทางอุทยานจัดหามาให้ ไม่ยอมแม้ให้ญาติไปนำเด็กอ่อนที่ถูกจับมาพร้อมกับแม่ออกมาดูแล
การสอบสวนดำเนินการตลอดวัน เมื่อนำไปศาลเพื่อฝากขังจึงเย็นมากแล้ว จึงไม่สามารถดำเนินการเรื่องประกันตัวได้ อีกทั้งวันนั้นเป็นวันศุกร์ ทำให้ต้องติดวันเสาร์-อาทิตย์ หมายความว่าชาวบ้านจะต้องติดคุกแน่นนอนอย่างน้อย 2 วัน แต่เป็นเพียงการฝากขังเพื่อรอการประกันตัว และเป็นเพียงโทษเล็กน้อยเท่านั้น
จึงไม่แปลกที่จะมีเสียงวิจารณ์ว่าเป็นความตั้งใจของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะให้ชาวบางกลอยติดคุกสัก 2-3 วัน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชาวบ้านเข็ดหลาบจะได้ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐอีก วิธีการเช่นนี้ใช้กันจนเป็นมาตรฐานของระบอบประยุทธ์ เราจะเห็นตัวอย่างได้มากมาย
วันนั้นชาวกะเหรี่ยงบางกลอยถูกสั่งฟ้องและถูกนำไปฝากขัง 28 คน เป็นผู้ชาย 15 คน แต่เมื่อพวกเขาถูกนำเข้าเรือนจำปรากฏว่าทางเรือนจำบังคับจับผู้ชายโกนหัว ทั้งที่พวกเขาเป็นเพียงผู้ถูกฝากขัง และจะถูกฝากขังเพียง 2-3 วัน ซึ่งทางเรือนจำไม่ควรมีสิทธิ์จะทำอย่างนั้นได้ เนื่องจากชาวบางกลอยยังไม่ถูกตัดสินว่ามีความผิด และชาวบางกลอยก็พยายามจะบอกว่าพวกเขาไม่ต้องการโกนหัว อีกทั้งยังพยายามบอกว่าตามความเชื่อของชาวกระเหรี่ยงจะไม่มีการตัดผม เพราะจะทำให้เสียขวัญทางจิตวิญญาณที่ได้รับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่เจ้าหน้าที่เรือนจำก็ไม่ฟังและโกนหัวผู้ชายในที่สุด
อีก 2 วันต่อมาศาลให้ชาวบางกลอยทุกคนได้ประกันตัว โดยที่ผู้ชายมีหัวโล้นเพราะถูกโกนมาจากเรือนจำ นอกจากนี้ยังมีเยาวชนถูกจับมาและนำมาฝากขังร่วมกับผู้ใหญ่ ซึ่งตามกฎหมายไม่สามารถทำได้ แต่กรณีเช่นนี้เจ้าหน้าที่รัฐก็กล้าทำ เพราะพวกที่ถูกเขากระทำนั้นเป็นแค่กะเหรี่ยงบางกลอยเท่านั้น
ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย และคุณทักษิณต่างก็เป็นคนไทยเหมือนกัน อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน ต่างกันแต่ว่าชาวกะเหรี่ยงบางกลอยเป็นกลุ่มคนชายขอบ ในขณะที่คุณทักษิณเป็นมหาเศรษฐี เป็นเจ้าของพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลขณะนี้ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี และที่สำคัญคือมีดีลลับกับผู้มีอำนาจที่แท้จริง ดังนั้นเรือนจำ/กรมราชทัณฑ์จึงปฏิบัติต่อชาวบางกลอยและคุณทักษิณต่างกันราวฟ้ากับดิน
จึงไม่แปลกที่มีคนตั้งคำถามว่า “ทักษิณเป็นนักโทษหรือเทวดา”
ความเป็นจริงในปัจจุบัน คือ กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นทางคือตำรวจ จนถึงปลายทางคือ “คุก” เป็นวิกฤติปัญหาของสังคม ไม่ได้มีอยู่เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม แต่กลายเป็นเพียงเครื่องมือของคนรวยและคนมีอำนาจใช้เอาเปรียบ/ปิดปาก/ทำลายล้าง คนจนและคนเล็กคนน้อยที่ลุกขึ้นมาทวงถามความยุตธรรมหรือเรียกร้องความถูกต้อง
ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมในปัจจุบันควรต้องได้รับการปฏิรูปอย่างจริงจัง และไม่มีหวังเลยหากจะให้คนในกระบวนการยุติธรรมเปลี่ยนแปลงกันเอง จึงไม่แปลกที่การเลือกตั้งที่ผ่านมาประชาชนจะหวังว่าจะมีพรรคการเมืองที่มีนโยบายในเรื่องนี้อย่างชัดเจน และพรรคการเมืองก็ทราบถึงความต้องการนี้ เราจึงได้เห็นพรรคการเมืองที่ประกาศตนว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยหรือฝ่ายที่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความความอยุติธรรมที่ประชาชนได้รับ ได้ประกาศนโยบายปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม เช่น พรรคก้าวไกลประกาศนโยบายว่า “ต้องมีการแก้ไขกฎหมายที่ถูกนำมาใช้ปิดปากหรือทำลายผู้เห็นต่างทางการเมืองทั้ง ม.112, 116, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และปฏิรูปสถาบันศาลให้ยึดโยงกับประชาชน”
พรรคเพื่อไทยก็มีนโยบายปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเช่นกัน “พรรคเพื่อไทย จะสร้างกระบวนการยุติธรรมที่ซื้อไม่ได้ และปรับปรุง ยกเลิกกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ รวมถึงลดขั้นตอนใช้ดุลยพินิจ เพื่อให้แน่ใจว่าประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเป็นธรรมและถ้วนหน้า”
คุณทักษิณต้องการกลับบ้าน จึงเกิดดีลกับผู้มีอำนาจเดิม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ เริ่มตั้งแต่พรรคก้าวไกลถูกหักหลังจนกลายไปเป็นฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยข้ามขั้วไปตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองฝ่ายเผด็จการ
พรรคก้าวไกลที่ต้องไปเป็นฝ่ายค้านทั้งที่ประชาชนเลือกมาด้วยคะแนนสูงสูงสุด โดยหวังว่าจะไปเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่มีปัญหาให้ดีขึ้น ก็ไม่สามารถจะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามที่ประชาชนต้องการได้
แต่ที่สำคัญที่สุดคือคุณทักษิณมีโทษที่ศาลตัดสินเด็ดขาดแล้วต้องจำคุก 8 ปี แต่คุณทักษิณต้องการกลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุกจริง และไม่ต้องถูกกระทำอย่างที่นักโทษอื่นได้รับ ซึ่งจากดีลลับก็ทำให้ทักษิณได้ตามสิ่งที่หวังจริง ขณะนี้เขาไปนอนอยู่ห้องพิเศษโรงพยาบาลตำรวจแบบสบายๆ โดยไม่ถูกทำอะไรเลยอย่างที่นักโทษอื่นต้องถูกกระทำ และจะถูกย้ายไปอยู่ รพ.เอกชนเมื่อไรก็ได้
กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ได้ช่วยกันสร้างเหตุผลรองรับให้คุณทักษิณกลายเป็นคนที่ถูกสังคมตั้งคำถามว่า “เป็นนักโทษหรือเป็นเทวดา”
นี่เองที่ผมบอกว่าคุณทักษิณช่างใจร้าย เพราะกระบวนการยุติธรรมกำลังอยู่ในสภาพที่ตกต่ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน ผู้ที่รับผิดชอบก็อยู่ในสภาพที่ขาดความน่าเชื่อถือ และถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าขาดคุณธรรม ขาดความละอาย กระทั่งไร้ความเป็นมนุษย์ แทนที่คุณทักษิณจะช่วยปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้ดีขึ้น กลับมาซ้ำเติมกระบวนการยุติธรรมให้ยับเยินลงไปอีก
คุณทักษิณยิ่งใจร้ายอย่างเหลือเชื่อ เพราะทำให้นโยบายของพรรคเพื่อไทยในการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเป็นหมันไปทันที พรรคเพื่อไทยจะทำอะไรได้ แค่จะอธิบายปัญหายังอธิบายไม่ได้เลย เพราะยินยอมพร้อมใจให้เจ้าของพรรคเหยียบย่ำกระบวนการยุติธรรมอย่างไม่ยี่หระต่อความถูกต้องใดๆ รวมทั้งต่อนโยบายที่ใช้หาเสียงด้วย
กระบวนการยุติธรรม และคนในกระบวนการยุติธรรมยังจะเหลือความดีงามอะไรให้ประชาชนพูดถึงได้อีกเล่า
เห็นด้วยกับผมไหมครับ ว่าคุณทักษิณช่างใจร้ายต่อกระบวนการยุติธรรมจริงๆ