วันเสาร์, กันยายน 07, 2562

แถลงการณ์มูลนิธิผสานวัฒนธรรม : ขอชื่นชมการทำงานของ DSI และคณะ คดีอุ้มฆ่า เผาและถ่วงน้ำอำพรางศพ นายพอละจี รักจงเจริญหรือบิลลี่ ขอให้สอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ





วันนี้ 3 ก.ย. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ พร้อมทีมงานเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้แถลงความคืบหน้าคดี นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ แกนนำชาวกะเหรี่ยง หลานปู่คออี้ ที่ต่อสู้เรียกร้องเพื่อสิทธิชุมชนและสิทธิชนเผ่า พื้นเมืองชาวกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน และได้หายตัวไปเป็นเวลา 5 ปี หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยาน แห่งชาติแก่งกระจาน จับและควบคุมตัวไปตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย.2557 โดยคดีนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถ คลี่คลายได้ จนกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้ามารับผิดชอบการสอบสวนตามคำร้องเรียนของญาติ จึงพบเป็นศพถูกฆ่า เผา และถ่วงน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานนั่นเอง

การแถลงข่าวของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะในวันนี้ ระบุว่าจากการสืบสวนเมื่อประมาณ ปลายเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2562 จากการประสานงานและสนับสนุนของเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายและองค์การภาคประชาสังคม ได้พบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ถัง เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน จากนั้นส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ตรวจพิสูจน์พบว่า “วัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส ซึ่งตรวจสอบแล้วพบสารพันธุกรรมตรงกับนางโพเราะ รักจงเจริญ มารดาของนายพอละจี เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานในสำนวนอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเชื่อว่า วัตถุดังกล่าวเป็นกระดูกของ “นายพอละจี รักจงเจริญ ที่สูญหายไปและได้เสียชีวิตแล้วโดยน่าจะเกิดจากการถูกทรมานและฆ่า แต่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังต้องสอบสวนถึงสาเหตุการเสียชีวิตและคลี่คลายคดีนี้ต่อไป

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ขอชื่นชมการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษและเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆที่สนับสนุนจนสามารถได้พยานหลักฐานว่าบิลลี่เสียชีวิตแล้ว และขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัว ญาติพี่น้องและชุมชนชาวกะเหรี่ยงแห่งบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดินต่อข่าวอันน่าสลดใจนี้ด้วย

จากการติดตามและให้ความช่วยเหลือครอบครัวของบิลลี่ในคดีนี้มาตลอด มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเชื่อว่าการกระทำผิดอันอุกอาจในคดีนี้ มีการกระทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยการอุ้มฆ่า เผา ถ่วงน้ำอำพรางศพ ซึ่งถือเป็นการฆาตกรรมโดยทรมานอย่างโหดร้าย และสามารถขัดขวางและประวิงการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ได้นานถึง 5 ปี ดังนั้นคนร้ายน่าจะได้รับการบงการหรือสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่บางคนที่มีอิทธิพลในวนอุทธยานแห่งชาติแก่งกระจาน ทั้งนี้ การบังคับบุคคลให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ หรือโดยการรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานที่ประเทศไทยเป็นภาคีแล้ว และขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: CED) ที่รัฐบาลและรัฐสภาไทยได้อนุมัติให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีได้

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม จึงมีข้อเรียร้อง ให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐดำเนินการ ดังต่อไปนี้
  1. ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อไปเพื่อให้ได้ตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ โดยเร็ว และขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานของพนักงานสอบสวนอย่างเต็มที่โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น
  2. ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองพยาน โดยเฉพาะครอบครัวของบิลลี่ ให้พ้นจากการข่มขู่คุกคามจากอิทธิพลใดๆทั้งสิ้น
  3. หากพบว่าการกระทำอันใดที่ละเมิดต่อนายพอละจี รักจงเจริญ อาจเกิดจากการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐคนใดเสียเอง ขอให้หน่วยงานต้นสังกัดย้ายหรือพักราชการเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้ใช้อิทธิพลในการแทรกแซงคดี และหากกระทำผิดต้องถูกลงโทษผู้ทั้งทางวินัยและทางอาญาตามกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นของสังคมต่อกระบวนการยุติธรรม
ขอให้รัฐบาลและรัฐสภาเร่งรัด ดำเนินการในการตรากฎหมายอนุวัติการตามอนุสัญญาต่อต้ายนการทรมานและการป้องกันการบังคับบุคคลให้สูญหาย โดยยึดมั่นในหลักการตามอนุสัญญาทั้งสองฉบับโดยเคร่งครัดและครบถ้วน เพื่อคุ้มครองประชาชนและป้องกันไม่เกิดกรณีดังเช่นบิลลี่ขึ้นอีก

แถลงการณ์ ณ วันที่ 3 กันยายน 2562

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กรุงเทพมหานคร

ooo



UPDATE: ดีเอสไอ เผยซุ่มแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยว-ชาวบ้านหาหลักฐานคดีบิลลี่ ย้ำหลักฐานครบออกหมายจับแน่
.
วันนี้ (6 ก.ย. 2562) พ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวถึงความคืบหน้าคดีฆาตกรรม พอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ ว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนในพื้นที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง และคดีนี้ในชั้นสืบสวนดีเอสไอได้เก็บรวบรวบพยานหลักฐานมาตั้งแต่หลังเกิดเหตุใหม่ๆ แต่อาจไม่ได้เป็นข่าว รวมทั้งรวบรวมพยานหลักฐานที่มีอยู่ในคดีเดิมที่อยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจ เพื่อดูความเชื่อมโยงว่าส่วนใดบ้างที่ขาดหายไป ส่วนพยานหลักฐานบุคคลมีอยู่บางส่วนแล้ว และกำลังพยายามหาเพิ่มเติม
.
ที่ผ่านมา ดีเอสไอส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปแฝงตัวเก็บหลักฐานในหลายรูปแบบ บางครั้งเข้าไปในลักษณะนักท่องเที่ยว และลักษณะของชาวบ้านในพื้นที่ และนำข้อมูลที่ได้มาเชื่อมโยงกับหลักฐานที่มีอยู่แล้ว
.
ทั้งนี้หากใครมีข้อมูลเบาะแสสามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วนดีเอสไอ 1202 โดยเจ้าหน้าที่จะปกปิดตัวพยานไว้เป็นความลับ
.
อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยด้วยว่า คดีนี้ดีเอสไอมีพยานหลักฐานมากพออยู่แล้ว แต่ยังต้องการให้มีความรอบคอบเพิ่มขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็สั่งการให้ทำเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา รวดเร็ว และให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ขณะที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ขอเวลาอีก 1 เดือน ในการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนกระดูกที่เหลืออยู่ คาดว่าจะสรุปสำนวนการสอบสวนได้ภายใน 2-3 เดือน โดยในระหว่างที่พยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ดีเอสไอจะยังไม่มีการออกหมายจับผู้ต้องหาในคดี
.
ขณะที่ในวันพรุ่งนี้ (7 กันยายน) จะมีกิจกรรมร่วมรำลึกเรียกร้องความยุติธรรมให้ บิลลี่-พอละจี รักจงเจริญ ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยเครือข่ายศิลปิน และกลุ่มโจรสลัด
.
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ https://thestandard.co/
#News #TheStandardCo