ข่าวว่า พิเชษฐ สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลไปเป็นฝ่ายค้านอิสระแล้วอีก
๑ เสียง เมื่อนับพรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทยที่ออกไปก่อนหน้านี้ ๒ เสียง
ก็เท่ากับรัฐบาล คสช.๒ ‘ปริ่มน้ำ’ แน่
เพราะทำให้รัฐบาลเหลือ ๒๔๙ เสียง
ยันกับฝ่ายค้าน ๒๕๑ เสียง (‘สัตยาบัน’ ๒๔๖ บวก ‘อิสระ’ ๕ เสียง)
หากจะ ‘เหมา’ เอาจากกรณี กรณ์
จาติกวณิช ของประชาธิปัตย์เริ่มแสดงความอึดอัดกับแก๊งประชารัฐรวบยอด ก็เป็นสัญญานหมองหมางได้เหมือนกัน
เรื่องกรณ์ออกมาบ่นนโยบายการจัดระเบียบทางเท้า
“ฝากท่านนายกรัฐมนตรีส่งสัญญาณไปยัง กทม. ให้พักการจัดระเบียบแบบเดิมไว้ก่อน”
อ้างว่าจุดผ่อนผันเหลือแค่ร้อยกว่า ไม่เป็นธรรมกับผู้มีรายได้ต่ำ “ไม่สามารถซื้อของตามห้างร้านหรือทานข้าวตามร้านอาหารได้”
ข้อสำคัญกรณ์บอกว่า การจัดระเบียบของ กทม. ทำให้
“มีผู้ค้าต่างด้าวเป็นจำนวนมาก และหลายรายมีนายทุนหนุนหลัง
ได้มาค้าขายแทนคนไทยที่ถูกจัดระเบียบ ซึ่งไม่เป็นธรรม...เป็นช่องทางการทำทุจริตของเจ้าหน้าที่”
ด้วย
ดูไปก็เป็นการสร้างผลงานตามธรรมดาของ ส.ส.
บัญชีรายชื่อผู้นี้ ที่ไม่ธรรมดาอยู่ที่ คนของประชารัฐสาย กปปส.ที่นั่งอยู่ กทม.
เป็นเดือดเป็นร้อนออกมาโต้ เขียนเฟชบุ๊ค ‘ยาวหน่อย’ เลคเชอร์พรรคการเมืองที่ ‘อดีต’ เคยเป็นจ้าว กทม.
สกลธี
ภัททิยกุล ท้าวความข้ามห้วยย้อนไปสมัยผู้ว่าฯ จำลองโน่น แล้วมาลงว่า “ปัจจุบันตัวเลขกลมๆ
ของจุดผ่อนผันอยู่ที่ประมาณ ๑๗๐ จุด” ใครมากล่าวหาว่า “ตัดโอกาสการทำมาหากินจึงไม่น่าจะใช่
ได้หาที่ใหม่ให้ทุกครั้งเพียงแต่ผู้ค้าไม่อยากไปเพราะมันขายดีสู้บนทางเท้าไม่ได้ครับ”
แหม่นี่คันปากแทนกรณ์
ธุระไม่ใช่แต่ก็ขอเผือกเพื่อประโยชน์สาธารณะ ว่าถ้านโยบายดีจริงต้อง ‘หาและจัด’ ที่ใหม่ให้ขายดีกว่าเก่า
หรืออย่างน้อยพอตัวไม่ด้อยลงสิ เขาจะแห่กันไปเองแหละ
พูดไปทำไรมีทั่นรองฯ
ติดสันดอนหัวหน้าใหญ่ฝ่ายรัฐประหารล่ะสิ คนอื่นเง่า กรูดีหมด แถมท้าพี่โย่ง “อยากให้ลงไปเดินทางเท้ากันบ้างครับจะได้เข้าใจหัวอกคนใช้ทางเท้า”
ไม่เอากรวยไปตั้งก็ดีเท่าไหร่ รู้นะว่าทั่นคิดอะไรอยู่
แล้วยังอีกกรณี หลังจากที่มีบาง
ส.ส.ของพลังประชารัฐออกมาเสริมเป็นลมใต้ปีกกระแสสลิ่ม ‘ไม่เอาแก้รัฐธรรมนูญ’ แต่ดันอ้างให้จัดการเรื่องปากท้องเสียก่อน
ทำเป็นตาบอดตาใสไม่เห็นว่าที่ประชากรจะพากันอดตาย ไม่ใช่เพราะปิดกรุงเทพฯ
ให้ทหารยึดอำนาจถลุงงบประมาณตลอด ๕ ปีละหรือ
รายนี้ ปชป.เหมือนกันเริ่มส่งเสียงดังว่าไม่แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้นะ
เทพไท
เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช ทวงสัญญาประชาคมว่าการแก้ รธน. “เป็นเงื่อนไขของพรรคในการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลกับ
พล.อ.ประยุทธ จันทรโอชา”
ซ้ำยังเตือนความจำว่าเรื่องแก้ รธน.นี่ “ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
ได้ระบุไว้ในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล” เทพไทอ้างด้วยว่าที่จริง รธน.๖๐ นี่
ประชาธิปัตย์ไม่เอาด้วยแต่ต้นนะ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคในขณะนั้นประกาศไม่รับร่างไปแล้ว
(https://www.facebook.com/theptai.theptai/posts/160154901731113,
https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_226695 และ https://www.prachachat.net/economy/news-368314)
ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงอุทธาหรณ์ที่มีคนพูดกันไว้แล้วแต่แรกเริ่มว่า
ด้วยความกระสันต้องการครองอำนาจนานๆ ใช้ทั้งเล่ห์กลมนต์คาถา วิชาดูดวิชามารกันแล้ว
ได้สมุนและลิ่วล้อร้อยพ่อพันแม่ แค่บริหารจัดการเรื่องเค้กก็ ‘ยุ่งตายห่’ ท้ายสุด ‘เอาไม่อยู่’ บทเรียนมีมาแต่สมัยเสนีย์จนกระทั่งยุคแม้ว
กรณี บุญทรง เตริยาภิรมย์ ‘ช็อค’ โดนศาลอาญานักการเมืองเพิ่มโทษคุกให้อีก
๖ ปี เป็นทั้งสิ้น ๔๘ ปีถึงที่สุด นั่นก็เป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับ ‘โปรย้ายพรรค’ ว่าไม่ได้ต่างตอบแทนหรือหมูไปไก่มาทุกรายนะ
ลุ้นกันมาพักใหญ่ตั้งแต่ลูกชายย้ายจากเพื่อไทยเข้าพลังประชารัฐ
เขาก็หวังว่าการอุทธรณ์จะเป็นผล อารมณ์ประมาณที่ชูวิทย์ (กมลวิศิษฏ์) เอามาเล่า “จะไม่มีใครเข้าใจหัวอกคนที่ตั้งความหวังไว้กับอิสรภาพ
แล้วมันหายวับไปกับตาทันทีที่สิ้นคำพิพากษา”
ซ้ำยังเตือน
“นักการเมืองที่กำลังกระดี๊กระด๊ามีบารมีสูงส่ง บุญท่วมหัวได้เป็นรัฐมนตรี
ให้ท่านหันกลับมามองพี่บุญทรงเป็นบทเรียน...เพราะวันที่พลาดเราก้าวเข้าคุกเพียงคนเดียว
ไม่มีใครเลยสักคนที่จะช่วยเราได้...พี่บุญทรงจะไม่ใช่รัฐมนตรีคนสุดท้ายที่เข้าคุก”
อีกคนที่เป็นมิตรในเรือนจำของบุญทรง Somyot Pruksakasemsuk พูดถึงโอกาสที่พลาดไปในพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม “บุญทรงไม่ได้การอภัยโทษเพราะเหตุที่ยังต่อสู้คดีอยู่
ตรงนี้ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง”
ต่างกับคดีของ สนธิ ลิ้มทองกุล
ที่พลาดจากการอภัยโทษโดยราชพิธีราชาภิเษกเหมือนกัน แต่มี ‘เพื่อนนักโทษ’ ร้องเรียนว่าคดีที่ติดค้างของสนธิไม่เกี่ยวกับข้อยกเว้นห้ามปล่อยตัว
“เป็นเรื่องตลาดหลักทรัพย์ ไม่ใช่สถาบันการเงิน” ควรเข้าข่ายได้ปล่อยตัว
เท่านั้นละ “ที่ประชุมสามฝ่าย
ยืนยันการตีความทางกฎหมายเป็นคุณกับผู้ร้อง...จึงเข้าข่ายได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว”
แล้วกรมราชทัณฑ์ยังแถลงไม่ให้เกิดคลางแคลงใจด้วยว่า “มิได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือมีใบสั่งจากผู้ใดรวมทั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองแต่อย่างใดทั้งสิ้น”
(https://www.facebook.com/PeaceNewsOfficial/photos/a.417847895249260/908662889501089/=-y.g,
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=423196691883041&set=a.121739258695454&type=3&theater
และ https://www.facebook.com/search/top/=SEARCH_BOX)
จะเวรหรือกรรมของใครของมันอย่างไรก็แล้วแต่
สมยศ พฤกษาเกษมสุข เขียนถึงการออกจากคุกของสนธิตอนหนึ่งว่าระหว่างที่เจอกันในคุก
สนธิซึ่งถูกพิพากษาจำคุก ๒๐ ปี บอกกับเขาว่าจะอยู่เพียง ๓ ปี นี่ก็ได้ออกมาเมื่อติดแค่
๓ ปีพอดี
“ถือว่าเป็นผู้หยั่่งรู้ฟ้าดินคนหนึ่ง” หยั่งสูงเพียงใดลึกแค่ไหน
จะเห็นกันได้ดีก็ตอนเขาอยู่นอกคุกนี่ละ