วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 16, 2560
ใช้กฎหมายอย่างข่มเหง : “ปิดวัดปล้นพระ ปิดกรุงเทพฯ ปล้นยิ่งลักษณ์”
เป็นอย่างที่ทวี้ต ThaiFreeNews @NatMother ว่าล่ะนะ “ปิดวัดปล้นพระ ปิดกรุงเทพฯ ปล้นยิ่งลักษณ์”
วันนี้ (๑๖ ก.พ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และกองบังคับการตำรวจภูธรภาค ๑ พร้อมด้วยทหารจากกองพลทหารราบที่ ๑ รอ. สนธิกำลัง ๓,๖๐๐ นาย เข้าตรวจค้นวัดธรรมกาย “เพื่อกดดันให้พระธรรมชโยออกมามอบตัว”
อ้างว่าทำตามคำสั่ง คสช. ที่ ๕/๒๕๖๐ ใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ “กำหนดให้เขตวัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติการตรวจค้นภายใน”
(http://news.thaipbs.or.th/content/260241 และ http://www.matichon.co.th/news/465043)
ข่าวเล่าว่าบรรยากาศตามประตูต่างๆ ทางเข้าวัดธรรมกาย ‘คึกคัก’ ตั้งแต่ตีสองครึ่ง ทั้งกำลังทหาร-ตำรวจ ทั้งผู้สื่อข่าวและช่างภาพหนังสือพิมพ์ ไปรวมตัวกันอย่างคาคั่ง ขณะที่ภายในมีศิษย์ธรรมกายจำนวนพันๆ นั่งสวดมนต์ภาวนากรำแดดกันอย่างไม่ย่อท้อ
กระทั่งเวลา ๗.๓๐ น. จึงได้มีการแถลงของอธิบดีดีเอสไอและผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๑ ว่าที่ยกกำลังมากันล้นหลาม “เพื่อรักษาความเรียบร้อยของเหตุการณ์”
นอกนั้นยังแจ้งด้วยว่า นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายได้เข้ามอบตัวแล้วตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ด้วยข้อหา ‘อั้งยี่’
ตลอดช่วงสายฝ่ายเจ้าหน้าที่ตั้งกำลังคุมเชิงตามประตูทางเข้าวัด ตกบ่ายมีการตัดกุญแจประตูเพื่อเข้าไปตรวจค้นภายใน โดยแบ่งกำลัง ๒ กองร้อยจากทั้งหมด ๔ กองร้อย บุกเข้าภายในวัดธรรมกาย
ก่อนหน้านี้ถึงแม้จะมีตัวใหญ่ๆ ระดับหัวหน้า ทั้งประยุทธ์และประวิตร ออกมาผ่อนกระแสช่วยกันย้ำว่าจะไม่มีการใช้กำลังรุนแรง แต่จากความอึกทึกคึกโครม บรรยากาศเทียบได้กับถูกกองโจรเอาวาบุกเข้าปล้น
ส่วนกรณีปิดกรุงเทพฯ ปล้นยิ่งลักษณ์ ล่าสุดดูได้จากท่าทีของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย พูดถึงการยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โดยใช้อำนาจทางปกครอง ไม่ต้องรอให้ศาลยุติธรรมตัดสินคดีสิ้นสุดเสียก่อน
อันเนื่องมาแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เขียนข้อความทางเฟชบุ๊คแย้งว่าคดีความในศาลปกครองและศาลอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยังไม่ตัดสิน
“ไม่เข้าใจว่านักกฎหมายใหญ่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและไว้วางใจ จะใช้ความคิดของตนเองในการให้ข่าวเรื่องการจะยึดทรัพย์สินของดิฉัน โดยไม่คำนึงถึงหลักความเป็นธรรม ทั้งๆ ที่รู้ว่าดิฉันได้นำคดีไปอยู่ในระหว่างการขอทุเลาคำสั่งและรอผลการพิจารณาจากทางศาลปกครอง”
“ท่านกลับไม่ได้คำนึงถึงหลักความยุติธรรมใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้คำนึงว่าศาลกำลังจะพิจารณาการร้องขอของดิฉันอยู่แม้แต่น้อย แต่กลับให้ข่าวว่าพร้อมที่จะยึดทรัพย์ดิฉันทันที โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากศาลในเรื่องการขอทุเลาคำสั่งการทางปกครอง”
เจอเข้าอย่างนั้น ทั่นรองฯ ก็ของขึ้น ออกมาตีกลับทันควัน “ในแง่ของกฎหมายถือว่ากระบวนการนี้ได้แล้วเสร็จแล้ว คือแล้วเสร็จตามประมวลกฎหมายวิธีปฏิบัติทางปกครอง กฎหมายว่าด้วยการรับผิดทางละเมิดเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อออกคำสั่งก็ต้องบังคับใช้...
รัฐบาลมองในแง่ว่าเมื่อออกคำสั่งทางปกครองแล้วแจ้งให้เจ้าตัวได้รับทราบ ก็สามารถยึดทรัพย์ได้ทันที"
(http://www.matichon.co.th/news/464386)
ทั่นรองฯ อ้างกฎหมายสไตล์ คสช. เป๊ะเลย ประเภทกฎหมายออกเองแบบขาด ‘rule of law’ แต่ก็ดึงดันใช้บังคับ ด้วยอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ที่ช่วงชิงเอามาโดยใช้อาวุธข่มขู่ ชนิดที่ผู้รู้หลายต่อหลายคนชี้ว่าเป็น ‘rule by law’
แปลเป็นไทยได้ตรงเผงกับความหมายที่ว่า “ใช้กฎหมายข่มเหง”