วันพฤหัสบดี, กุมภาพันธ์ 23, 2560

สังคมไทยไฉนมีความรังเกียจเดียจฉันท์กันถึงขนาดนี้





เช้าตรู่วันที่ ๒๓ กุมภา หมอกยังปกคลุมขอบฟ้าบริเวณพื้นที่คลองหลวง ด้านหน้าประตู ๑ วัดธรรมกาย เห็นหมู่สงฆ์ห่มจีวรสีแซ็ฟฟรอนยืนเรียงหน้ากระดานกันสองสามชั้น หาใช่การบินฑบาตหมู่เฉกเช่นวัตรปฏิบัติปกติ

หากแต่สงฆ์เหล่านั้นยืนเผชิญหน้าแถวทหารในชุดพราง ที่พยายามผลักดันจะเข้าไปในอาคารบุญรักษา เพื่อทำการตรวจค้นหาพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสที่รัฐบาลรัฐประหารใช้อำนาจวิเศษ ม.๔๔ ส่งกำลังตำรวจ-ทหารหลายพันคนเข้าทำการจับกุม ถึงวันนี้เป็นวันที่แปดเข้าแล้ว





แม้ว่าการตรวจค้นตู้คอนเทนเนอร์มากมายภายในบริเวณวัดเมื่อวาน ที่สื่อบางรายเอาไปเขียนคาดหมายว่าอาจจะเป็นการส้องสุมอาวุธและสิ่งของผิดกฎหมาย ก็ปรากฏว่าเจอบาตพระใบกลมๆ สีดำๆ เต็มไปหมด





“๖ โมงเช้าวันนี้ทหารเข้าพังประตู จะเข้ายึดอาคารบุญรักษา วางลวดหนาม มีการยื้อยุดจนพระได้รับบาดเจ็บ กำลังเจรจา” เป็นทวี้ตรายงานของ Democracy WatchDog‏@World_Democracy เมื่อเวลา ๐๘.๐๖ น.

การบิณฑบาตมามีขึ้นเมื่อเวลา ๙.๓๒ น. ตามรายงานของ KowitThaiPBS‏@kowit_ThaiPBS :“วัดพระธรรมกายนำสามเณรขอบิณฑบาต บริเวณตลาดกลางคลองหลวง ตรงข้ามทางเข้าประตู ๕,๖ เพื่อให้ยกเลิก ม.๔๔”

“พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกายเปิดเผยว่า ศิษย์วัดพระธรรมกายในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นัดรวมตัวยื่นหนังสือถึงองค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ในวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์นี้...

เพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของรัฐบาลไทย กรณีนำกำลังตำรวจ-ทหาร เข้าควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย...





ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บจากการปะทะกันกว่า ๑๑ ราย หนึ่งในนั้นอาการบาดเจ็บสาหัส ซี่โครงหัก และไหปลาร้าแตก”

(http://news.voicetv.co.th/thailand/464382.html)

แท้จริงการเผชิญหน้าระหว่างกำลังตำรวจทหารกับพลังภิกษุบวกศิษย์วัดและญาติโยม ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมามิได้รุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อเสมอไป ประการหนึ่งนั้นเนื่องจากฝ่ายกำลังเจ้าหน้าที่ไม่ติดอาวุธ และบรรดาหัวหน้าฝ่าย คสช. กำชับห้ามใช้ความรุนแรง

ขณะที่ฝ่ายพระและญาติโยมก็มีมิตรจิตมิตรใจ ยื่นอาหารห่อให้เจ้าหน้าที่ประจำการได้กินกัน คงจะเพราะรู้ดีว่าไอ้เณรที่ถูกเกณฑ์มาเหล่านี้ถูกหักค่าเบี้ยเลี้ยงอาหารกล่อง จาก ๔๔๐ บาทเหลือแค่ ๒๐๐ บาทต่อวัน แถมข้าวกล่องราคา ๒๔๐ บาทนี่ชนิดหะมาไม่แดรกซะอีก

นอกเหนือจากนั้นความเอื้ออาทรของฝ่ายสงฆ์วัดธรรมกาย นอกจากให้เจ้าหน้าที่ได้กินกลางวันแล้วยังบริการนำสุขาเคลื่อนที่ไปตั้งให้เปลื้องทุกข์กันระหว่างตั้งแถวประจำการด้วย

ล่าสุดมีข่าวว่าชาวใต้จำนวนหนึ่งรวมตัวกันเพื่อให้การสนับสนุนแก่วัดธรรมกาย เพื่อเป็นการตอบแทนอันเนื่องมาแต่ช่วงอุทกภัยใต้ที่ผ่านมา วัดธรรมกายจัดส่งสิ่งของจำเป็นไปถึงผู้ประสพภัยที่ติดอยู่ในสถานที่น้ำกั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เช่นนี้แล้วสังคมไทยไฉนมีความรังเกียจเดียจฉันท์กันถึงขนาดนี้ สื่อหลายแหล่งไม่เพียงเสนอข่าวลำเอียง เย้ยหยัน และให้ร้าย กระทั่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเองยังให้สัมภาษณ์ถึงวัดธรรมกายอย่างดูหมิ่นดูแคลน





ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนมิจฉาทิษฐิที่ว่า สำนักธรรมกายไม่ใช่พุทธแท้ เพี้ยนและนอกรีต สอนคนให้โลภโมโทสันกับการสร้างความมั่งคั่ง กอบโกยทรัพย์ศฤงคาร ไม่รู้ว่าความต้องการร่ำรวยกลายเป็นสิ่ง ‘ไม่พุทธ’ ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

หลายคนที่พูดถึงวัดพระธรรมกายด้วยความเห็นอกเห็นใจแล้วต้องออกตัวกันว่าฉัน ผม กู ไม่ใช่ศิษย์ สาวก หรือนับถือธรรมกายนะ เพียงแต่แสดงอาการเช่นนี้ก็เข้าข่าย ‘เหยียด’ บ้างแล้วเช่นกัน

ไฉนไม่ลองเปลี่ยนทัศนคติกันเสียหน่อย ทำความเข้าใจใหม่ว่า “ไม่มีหรอก พุทธที่แท้” อย่างที่หมออั้ม นพ.อิราวัต อารีกิจ เสนอแนะ หรือจะคิดตาม อจ.สุจิตต์ วงศ์เทศ ที่ว่า “ไม่เคยพบหลักฐานว่าพุทธแท้สมัยพุทธกาล มีอย่างไร”

บางทีอาจทำให้ลดราความรู้สึกร่วมในทางหมิ่นแคลนเจือจางลงไปบ้าง ปิดช่องทางพวกก่อกวนในคราบผ้าเหลือง ใช้วาจาสามหาวก้าวร้าวกระตุ้นความแตกแยกจงเกลียดจงชังระหว่างผู้เห็นต่าง หลีกเลี่ยงมิคสัญญีได้สักน้อยนิดก็ยังดี

“ที่เราเห็นทั้งหลาย ไม่ว่านิกายใดๆ ของศาสนาพุทธที่เกิดหลังศาสดาปรินิพพาน ล้วนแล้วแต่เป็น ‘แนวทาง’ ทั้งสิ้น มิใช่เส้นทางเส้นเดียวที่ขีดให้เดิน” หมออั้มอธิบาย

“แล้วอะไรคือ พุทธที่แท้ แล้วที่เรานั่งพนมมือรับน้ำมนต์ รับของขลัง ดูพระสงฆ์ที่ตั้งตัวเป็นเจ้าสำนักเอาทองปิดหน้าผาก เอาเลือดผสมทำพระผง แบบนี้เป็นพุทธที่แท้หรือ” แค่ยกตัวอย่าง

“ไม่นิยมก็ใช่ว่าต้องเกลียด ความเป็นธรรมเท่านั้นที่จะทำให้ทุกสิ่งดีขึ้น” คุณหมอสรุป

(https://www.facebook.com/doctorum.irawat?fref=ts)





ทางด้าน อจ.สุจิตต์ ยืนยันว่า “ในสยามประเทศ แรกรับพุทธศาสนายุคทวารวดี ราวหลัง พ.ศ. ๑๐๐๐ ที่เมืองอู่ทอง (อ. อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี) ก็ไม่เคยพบหลักฐานพุทธแท้มีลักษณะอย่างไร”

นักวรรณคดีตัวยงนำข้อเขียนของ วิจักขณ์ พานิช นักศึกษาพุทธศาสนาชนรุ่นใหม่มาอธิบายเพิ่มเติม “ถึงที่สุดแล้วพุทธแท้นั้นไม่มีอยู่จริง

พุทธที่จะอยู่รอดต้องเคารพคุณค่าสากลและส่งเสริมเสรีภาพ ซึ่งก็คือพุทธที่อ่อนน้อมถ่อมตัว พุทธที่คุยกับคนอื่นรู้เรื่อง ไม่ใช้ศีลธรรมสุดโต่ง และกล้าถกเถียงในประเด็นสาธารณะอย่างมีเหตุมีผล”

(https://www.matichonweekly.com/featured/article_25688)

ประการสำคัญที่วิจักขณ์เขียนไว้ตั้งแต่มีนาคม ๒๕๕๘ นำมาใช้กับสถานการณ์วันนี้ได้อย่างเหมาะเหม็ง

“ควรเอาอำนาจรัฐออกจากศาสนา อันจะนำสู่สังคมที่ส่งเสริมเพิ่มพูนเสรีภาพ และสอดคล้องกับคุณค่าสากลในระบอบประชาธิปไตย”