วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 26, 2560

เครื่องยืนยันวันนี้ กะลาแลนด์ยากที่จะปรองดอง สมานฉันท์





ดูภาพกราฟฟิคที่เขาทำกันขึ้นเพื่อสัพยอก ‘กะลาแลนด์’ โดยใช้รูป จอมขวัญ หลาวเพ็ชร ผู้จัดรายการดังของไทยรัฐทีวี ตั้งคำถามกำลังร้อนเรื่อง ‘พุทธแท้’ และ ‘คนดี’ แล้วยิ่งทำให้สิ้นหวังกับสังคมไทย

พุทธแท้ต้องด่าธรรมกาย และคนดีต้องด่าทักษิณ เป็นคำตอบบน ภาพ ‘sarcastic’ นั้น

ที่นี่ ไม่ต้องการบอกว่าไม่ใช่ศิษย์หรือสาวกธรรมกาย และไม่ใช่ ‘คนรักทักษิณ’ แต่ก็ไม่สมควรอย่างยิ่งจะต้องถูกผลักให้ทำตัวเป็นพุทธแท้และคนดี มิพักจะเป็นแค่ ‘ไทยเฉย’

การออกมาสนับสนุนธรรมกายที่ถูกรัฐบาล คสช. ห้ำหั่นทำร้าย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางจิตใจ) เป็นจิตสำนึกปกติธรรมดาของผู้มีความเป็นมนุษยชน ยึดมั่นประชาธิปไตย และเชิดชูหลักการ ทุกคน ‘เท่าเทียม’ กันในโอกาสดำรงชีวิต

เช่นเดียวกับการแสดงการชมเชย ยกย่อง อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร บางครั้ง บางกรณี ก็มิใช่เพราะความคลั่งไคล้หลงใหลแบบ ‘cult’ หากแต่เป็นเพราะตระหนักถึงความจริงที่ว่าคุณูปการที่เขาทำให้แก่ประเทศและประชาชน ล้ำหน้าความผิดพลาดและข้อเสียที่เขาถูกผู้คนส่วนหนึ่งก่นด่า

สิ่งที่ได้เห็นในวันนี้ (๒๕ ก.พ.) ทางหน้าโซเชียลมีเดีย หลังจากชายสูงวัยผู้หนึ่งเสียชีวิตจากการขึ้นไปประท้วงบนเสาสูง เขาผูกคอตนเองบนนั้นหลังจากที่ข้อเรียกร้องให้คณะทหารยุติใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ม.๔๔ แม้จะไม่ได้ระบุแต่ก็เป็นที่เข้าใจว่าเกี่ยวเนื่องกับกรณีวัดธรรมกาย ไม่ได้รับการตอบสนอง

ชายผู้นี้จะเป็นศิษย์ เป็นสาวก ผู้มีศรัทธา หรือเพียงแค่เห็นใจกับการทนทุกข์ของคนธรรมกาย แม้กระทั่งเขาเป็นคนที่รักประชาธิปไตยอย่างลึกซึ้งเฉกเช่นลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ที่ผูกคอตายบนสะพานข้ามทางด่วนวิภาวดี เพื่อประท้วงการรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๔๙

แน่นอนว่าทั้งสองท่านนี้มีจิตใจต่างกับบุคคลธรรมดา และแน่ชัดว่าเข้มแข็งกว่าไทยเฉยหลายร้อยเท่า แต่เขาทั้งสองย่อมไม่ใช่คนที่มีจิตฟั่นเฟือนแน่ๆ





คนไทยจำนวนหนึ่ง เทียบกับนักท่องเว็บโซเชียลอื่นๆ จัดว่าจำนวนไม่น้อย แสดงอาการเย้ยหยัน สาสม สะใจ กับการตายของนายอนวัช ธนเจริญณัฐ วัย ๖๕ ปี พนักงานเฝ้าเสาสัญญานโทรศัพท์ในท้องที่คลองหลวงติดกับวัดธรรมกาย

‘มนุษย์สองหน้า‏@Piratex’ คอมเม้นต์ว่า “จะให้คิดเชี่ยไรนักหนาล่ะวะ มีใครอยากตายอีกมั้ย เอาจริงๆ นะ ลุงขับแท็กซี่ชนรถถังต้านรัฐประหารคลั่งประชาธิปไตย ยังดูมีสตอรี่พอเร่ขายได้กว่า”

‘Moth‏@Mothlife’ ไม่น้อยหน้า “สาวกธรรมกายยอมพลีกายตายไปแล้ว ๑ ศพ ชีวิตประชากรโง่ๆ แบบนี้ตายไปดีแล้ว #ธรรมกาย

‘Tanakit Charoensritong’ อีกคนมาแต่ไก่โห่ “๒ ทุ่มครึ่งละ อีกครึ่งชั่วโมงจะกลับมาดูจะกล้าโดดลงมาไหม ถ้าไม่โดดหมาทั้งธรรมกายนะ”

อีกรายมาล่านิด อยู่อย่างจงรัก ตายอย่างภักดี “ตอนนี้ ๒๑.๑๙ มึงน่าจะโดดลงมาได้แล้วนะ มึงบอกว่าจะโดดตอน ๒๑.๐๐ น. ๕๕๕๕๕๕๕๕ เจ้าหน้าที่เขารอเก็บศพมึงอยู่นะ”

ตัวอย่างชุดสุดท้ายนี้เหมือนดูหนัง ‘The Walking Dead’ ทางช่อง AMC โดยมี Tanagrit Tae Injun เปิดประเด็น “ไปกระโดดลงบ่อจระเข้าเถอะครับ อาจมีประโยชน์บ้าง กระโดดตรงนี้ลำบากมูลนิธิเปล่าๆ”

อีกสองนาฑีต่อมา Jutharat Jeebklum ช่วยเสริม (พร้อมแก้ไขการสะกด) “ทำแบบนี้ลำบากจรเข้อีก ต้องมาโดนยิงเพราะรักษาชีวิตอีลุงนี่...ตายไปอีธัมมี่มันจะมาหารึก็เปล่า งมงาย”

Tanagrit Tae Injun คนเริ่มต้น ต่อความยาว “ชิตังเม โป้งตาย”

คนใหม่ พิเชฏ รอดอ่อน เอาบ้าง “ตายซะสูงลำบาก จนท. มูลนิธิเค้า เฮ้อออ”

เช่นดียวกับ กรองกาญจน์ ประทุมรัตน์ ผู้มีจิตอาสาพญายม “สงสารๆๆๆ คนที่เขาลำบากไปเอาศพมันลงมา”

เหล่านั้นเป็นเครื่องยืนยันวันนี้ โดดเด่นอย่างเดียว กะลาแลนด์ไม่มีทางปรองดอง ประเทศไตแลนเดียยากที่จะสมานฉันท์ ถึงขั้นสังคมร้อนรุ่มอาจลุกเป็นไฟในไม่ช้า ส่งผลถึงการฟื้นฟูความสมบูรณ์เรื่องปากท้องของประชาชนและความพูนสุขของประเทศไทย มองไม่เห็นแสงไฟที่ปลายท่อยักษ์ กทม.

จึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องวาดหวังกับการได้ทักษะ วิสัยทัศน์ และผลงานการบริหาร-พัฒนาเศรษฐกิจ ของทักษิณกลับมา อย่างที่เอ่ยถึงกันในหมู่เสื้อแดงบ่อยๆ เพราะถึงเวลานี้พื้นที่และบรรยากาศไม่อำนวยเสียแล้ว รอแต่ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอย่าง ๖ ตุลา ๑๙





ว่าที่จริงทักษิณก็คงเลิกคิดหวังอย่างนั้นเสียแล้วเหมือนกัน ดูจากรายงานความเคลื่อนไหวของเขาล่าสุด

“นายทักษิณประเมินสถานการณ์ขณะนี้ว่า เหตุการณ์ปัจจุบันยังไม่มีอะไรแน่นอนว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นช้าหรือเร็ว ส่วนเรื่องการเมืองได้เน้นย้ำให้พรรคต้องปรองดอง และขอให้บรรดาอดีตส.ส.อดทน ไม่ทำตัวให้เป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง

เพราะหากไม่เริ่มปรองดองบ้านเมืองจะอยู่ไม่ได้ อีกทั้งเศรษฐกิจก็ย่ำแย่ใครมาเป็นรัฐบาลก็มีความลำบากเพราะเงินไม่มี ต้องทำให้บ้านเมืองอยู่ในความสงบสุข และขอให้ผู้มีอำนาจได้ทำงานอย่างเต็มที่จนกว่าจะพอใจ”

(http://www.matichon.co.th/news/475979)

นับว่าท่านอดีตนายกฯ ในดวงใจของหมู่ชนเสื้อแดง เป็นผู้มีจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ คสช. ไม่น้อยอยู่ ท่านว่า “ซึ่งคสช.จะทำงานดีหรือไม่ประชาชนเป็นผู้ประเมินได้”

ทว่าที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยประเมินกันออกมาแล้วหลังจากบักโกรกกันมาเกือบจะสามปี อาจจะยังประเมินไม่ได้

ก็ ‘ชั่งมัน’ ในเมื่อยุคนี้ไม่ได้มี ‘เผือก’ ซึ่งเป็นของแสลงสำหรับ ม.๔๔ และ คำสั่งที่...

อย่างไรก็ดี อย่างนี้ก็ตาม มีข้อน่าสังเกตุว่าข่าวเรื่องท่าทีล่าสุดทักษิณมาโผล่หลังจากปรากฏอาการสอง ศจ. นิธิ-ชาญวิทย์ ออกมากวนน้ำไม่ขุ่นสอดรับกัน (อย่าเพิ่งตั้งข้อสงสัยว่า ‘มติชน’ เสี้ยม เสียล่ะ)

(รายละเอียดที่นี่ http://www.matichon.co.th/news/469265 และนี่ http://www.matichon.co.th/news/473181)





“ถ้าผมเป็นพรรคเพื่อไทย ผมจะตัดสินใจแยกทางกับคุณทักษิณ” (นิธิ เอียวศรีวงศ์) และ “ถ้าผมเป็นพรรคเพื่อไทย ผม - ชาญวิทย์ ก็จะโยนทักษิณทิ้งเช่นกัน” (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ)

คำอธิบายของ อจ.นิธิ ส่วนหนึ่งว่า “การประนีประนอมที่ไม่ดูตาม้าตาเรือทำให้พรรคก้าวหน้าหลายพรรคเสื่อมความนิยม หรือถูกกลืนกลายเข้าไปในการเมืองน้ำเน่า” และ

“หากไม่กล้าลงจากอ้อมอกของคนอื่นเพื่อก้าวเดินด้วยตนเองแล้ว จะมีชีวิตของตัวเองได้อย่างไร นอกจากเป็นเพียงเครื่องประดับของบุคคลตลอดไป”

ส่วนของ อจ.ชาญวิทย์ ว่า “เคยทักท้วงเรื่อง ‘นิรโทษกรรม เหมาเข่ง’ อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ พรรคเพื่อไทยสมัย นรม. ยิ่งลักษณ์ก็ไม่สนครับ แล้วเดินหน้าไป จนพัง” และ

“ผมและเพื่อนๆ หลายสาขาอาชีพ จำนวน ๒-๓ หมื่น คน/รายชื่อ ยื่นเรื่องต่อสภาฯ ที่พรรคเพื่อไทยเป็นประธาน ให้ปฏิรูป กม.หมิ่นฯ ๑๑๒

ประธานสภาฯ ที่มาจากพรรคเพื่อไทยเตะเรื่องเราทิ้ง บอกว่าพวกเราทำไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับที่ถูกฉีกทิ้งไปแล้ว)”

ใครจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นดี กับข้อวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ มากหรือน้อยกว่ากันหรือไม่แค่ไหน ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแห่งกาลเวลาอันเป็นจุดเด่นขณะนี้ ที่เป็นความรู้สึกว่า

การแตกความคิดต่างความเห็น ทั้งระหว่างขั้วและภายในขั้ว มันแจ้งชัดขึ้นทุกทีว่าเกินกว่าจะอยู่ร่วมกันได้ หรือไม่สามารถ ‘get along’ อีกต่อไป ละฤๅ

(หมายเหตุ บางภาพประกอบจากโพสต์ของ ‘สุชาติ สวัสดิ์ศรี’)