
เรื่องปราบคอรัปชั่นกับปรองดองเป็นสองข้ออ้างสำคัญของ คสช. หลังจาก “ถ้างั้นผมยึดอำนาจ” ว่าเป็นเป้าหมายจะทำให้สำเร็จภายในหนึ่งปี
ดูเหมือนขณะนี้กำลังเร่งทำกันใหญ่ 'เกือบจะสามปีให้หลัง'
เรื่องปรองดองนั้นเพราะเปลี่ยนรัชกาล ส่วนเรื่องปราบคอรัปชั่นก็เพราะอะไรๆ มันโผล่ออกมาเยอะ โดยเฉพาะ ‘สินบนโรลสรอยซ์’
ไม่นับกรณีรัฐมนตรีในรัฐบาล ‘บิ๊กตู่’ อูฟูกันทั้งนั้น ‘หม่อมหลาน’ ปนัดดา ดิสกุล ที่ย้ายจากรัฐมนตรีสำนักนายก ‘ไม้ค์ทองคำ’ ไปอยูศึกษาธิการ รวยอย่างวิเศษกว่าเพื่อน ๑,๓๑๕ ล้าน
นอกนั้นพวกรัฐมนตรีพลเรือนล้วนมีทรัพย์สินกันเกินร้อยล้าน น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร์ มากกว่าใคร มี ๒๒๔ ล้าน ตามด้วยนายอุตตม สาวนายน มี ๒๐๗ ล้าน
(http://www.matichon.co.th/news/446749)
ส่วนพวกรัฐมนตรีที่เป็นทหารไม่น้อยหน้า สามคนที่ออกไปเป็นองคมนตรีของรัชกาลที่ ๑๐ ล้วนแต่เหยียบร้อยล้านทั้งนั้น โดยที่พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา อย่างจน ๔๗ ล้าน พล.อ.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ น้อยหน่อยมีแค่ ๙๕ ล้านครึ่ง ส่วน พล.อ.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ฟาดเข้าไป ๑๒๐ ล้าน

อ้อ แล้วก็เขาบอกว่า พล.อ.ธีรชัย นาควานิช อดีต ผบ.ทบ. ที่ลาออกจากสมาชิก สนช. ไปเป็นองคมนตรีเช่นกันก็สมถะ เหนาะๆ ๘๘ ล้าน
(http://www.isranews.org/…/invest…/item/53690-ksch-53690.html)
นี่ละมั้ง (เดาเอาว่า) ทำให้หัวหน้าใหญ่ คสช. “สั่งการให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ร่างคำสั่งมาตรา ๔๔ เพื่อแก้ปัญหาการซื้อขายตำแหน่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” (ตามรายงานข่าวสปริงนิวส์)
โดยที่โฆษกไก่อูออกมาย้ำ “มีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พิจารณาเตรียมออกคำสั่งมาตรา ๔๔ ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว เกี่ยวกับการกำหนดแนวทางการพัฒนาระบบการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ”
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด บอกด้วยว่า “จะนำแนวทางของกองทัพมาเป็นหลัก ให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับชั้นมีอำนาจเสนอแต่งตั้งผู้ใต้บังคับบัญชาตามลำดับ แต่การตัดสินใจสูงสุดยังอยู่ที่ผู้บัญชาการทางตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)”

กระนั้นก็ดี ท้ายที่สุดตัวหัวพูดเอง “การหารือใน คสช.วันนี้ยังไม่มีการออกคำสั่ง คสช.มาตรา ๔๔ ที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ
เป็นเพียงการพูดคุยหารือกันว่าทำอย่างไรเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะเรื่องของการแต่งตั้งที่มีการกล่าวอ้างกันตลอดมาว่ามีการซื้อขายตำแหน่ง การกล่าวหาว่ามีการเรียกรับเงินทองต่างๆ”
(http://www.matichon.co.th/news/447456)
ถึงอย่างไร หัวหน้าฝ่ายตำหวดก็ ‘ของขึ้น’ ไปแล้ว “อย่ามาย่ำยีองค์กรผมมาก”
อันนี้เฮียแกไม่ได้ย้อนแย้งลุงตูบหรอกนะ แต่ว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ทั่นสวนกลับ ‘นักวิชาเกิน’ สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต กับพ.ต.อ.วิรุฒม์ ศิริสวัสดิบุตร (“ประสบความสำเร็จในการรับการราชการตำรวจหรือเปล่า”) ที่ไปเสวนาเรื่อง ‘ตำรวจไทยมีไว้ทำอะไร’
เรายังไม่ทันรู้ละเอียดนะว่าเสวนาเขาบอกตำรวจไทยมีไว้ทำอะไรบ้าง แต่เสียง ผบ.ตร.ดังสวนก้องกกหู “ทุกวันนี้ผมก็เป็นเบ๊ประชาชน ยังมาถามอีกตำรวจมีไว้ทำอะไร แม้จะปรับองค์กรเราก็พร้อมอยู่แล้ว”
(http://www.matichon.co.th/news/447055)
นั่นละเรื่องปราบคอรัปชั่นที่กำลังทำกัน ไม่พูดเรื่องน้องชาย หลานชาย น้องสะใภ้ ไม่พูดเรื่องที่ดินมรดกพ่อราคาเกือบ ๖๐๐ ล้าน เรื่องโรลสรอยซ์ก็ “ให้เขาสอบสวนไป” เรื่องส่วยตำรวจ “ไม่ใช้ ม.๔๔”
เช่นเดียวกับเรื่องปรองดอง “ยืนยันจะไม่ออกคำสั่งตามมาตรา ๔๔ มาดำเนินการเรื่องนี้ คนผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและได้รับโทษก่อน จากนั้นอาจจะลดหย่อนให้...
การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ ทุกคนในประเทศต้องอยู่อย่างสงบ สันติ สนับสนุนการทำงานของทุกรัฐบาล ภายใต้กลไกของประชาชนและกฎหมาย โดยไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายพิเศษมาบังคับ”
(http://prachatai.org/journal/2017/01/69848)
แต่ไหงตอนเจอเด็กนักประดิษฐ์ก่อนเข้าประชุม คสช. ลุงตูบดัน ‘บ่จอย’ ซะงั้น “พูดคุยกับน.ส.ณัชชา โรจน์วิโรจน์ นักประดิษฐ์” ให้เนื้อถ้อยกระแทกใส่หูนักข่าว
“ต้องให้กำลังใจผู้คิดค้นและนักประดิษฐ์ เพราะถ้าไม่มีคนเหล่านี้แล้วยังคิดดักดานเหมือนเดิม ประเทศก็อยู่ไม่ได้แน่ อยู่แต่ไอ้คำว่าปรองดอง ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ๓ ตัวนั่นแหละ ก็อยู่กันไปก็แล้วกัน”
(http://www.matichon.co.th/news/446676)
คงเพราะมีสำนึกเบื้องลึกไม่พอใจทั้งสามสิ่งที่อ้างถึงนั่นแหละ ถึงได้พูดกระทบกระทั่งทั้งปรองดอง ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน ไม่ขาดสาย
เหตุการณ์วันนี้ (๑ ม.ค.) ศาลจังหวัดขอนแก่นมีคำสั่งเบิกตัวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน จากเรือนจำมาแจงเหตุขอฝากขังเป็นครั้งที่ ๖ ว่า “เนื่องจากการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ”
แม้ทนายความจำเลย “เตรียมยื่นประกันตัว อีกทั้งคัดค้าน หากศาลสั่งไต่สวนคำร้องเป็นการลับ เช่นที่ผ่านมา”
(http://news.voicetv.co.th/thailand/457692.html)
อย่างนี้นี่แหละที่ทำให้การปรองดองจะไม่เกิด