วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 10, 2560

คดี ม.112 “ช่างตัดแว่นตาเชียงราย” ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอต่อสู้คดีถึงที่สุด




คดี ม.112 “ช่างตัดแว่นตาเชียงราย” ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอต่อสู้คดีถึงที่สุด

กุมภาพันธ์ 7, 2017
By admin99
ที่มา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

7 ก.พ. 60 ศาลมณฑลทหารบกที่ 37 จังหวัดเชียงราย นัดหมายถามคำให้การในคดีของนายสราวุทธิ์ (สงวนนามสกุล) ช่างตัดแว่นตาในจังหวัดเชียงราย ข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 โดยสราวุทธิ์ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและขอต่อสู้คดี ศาลจึงได้นัดหมายเพื่อตรวจพยานหลักฐานวันที่ 11 เม.ย. 60

จากเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.59 อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 37 ได้สั่งฟ้องคดีของนายสราวุทธิ์ ต่อศาลทหาร วันนี้ (7 ก.พ.60) เวลา 10.30 น. ตุลาการศาลทหารได้ขึ้นนั่งพิจารณาเพื่อถามคำให้การนายสราวุทธิ์ ศาลได้ระบุว่าจำเลยได้ยื่นเอกสารแต่งตั้งทนายความในการพิจารณาคดีแล้ว ศาลอนุญาตตามคำขอที่ยื่นมา จากนั้นจึงสอบถามว่าจำเลยมีความพร้อมจะให้การใช่หรือไม่ เมื่อจำเลยตอบว่าพร้อม ศาลจึงได้อ่านคำฟ้องให้คู่ความฟัง

คำฟ้องต่อจำเลยระบุว่าเมื่อวันที่ 21 ก.ค.59 เวลากลางวัน จำเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาทในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ราชวงศ์จักรี โดยจำเลยได้นำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยการโพสต์พระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งมีจำนวน 2 ภาพ เรียงต่อกันซ้ายและขวาในลักษณะเปรียบเทียบให้เห็นว่าภาพด้านซ้ายซึ่งเป็นภาพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในอิริยาบถเป็นการส่วนพระองค์ ลักษณะทรงยืนรับการถวายความเคารพจากเจ้าหน้าที่ คู่กับสุภาพสตรีไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด กับภาพด้านขวาที่ทับซ้อนกับภาพด้านซ้าย บางส่วนเป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า “ทรงพระเท่มากพะยะค่ะ” ในบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว

จำเลยได้โพสต์โดยตั้งค่าเป็นการแชร์ต่อสาธารณะ ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถเห็นภาพและข้อความดังกล่าวได้ และได้มีเพื่อนสมาชิกเข้ามาแสดงความเห็นถูกใจ (Like) จำนวนมาก เป็นการกระทำที่ไม่บังควรต่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ซึ่งพระองค์ทรงเป็นรัชทายาท อันเป็นที่เคารพสักการะ อยู่เหนือการติชมทั้งปวง และจะละเมิดมิได้ เป็นการใส่ความต่อบุคคลที่สาม โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและโดยประการที่น่าจะทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติคุณ ทรงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์

นายสราวุทธิ์ได้ให้การต่อศาลโดยขอให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และขอต่อสู้คดี ศาลจึงสอบถามอัยการทหารและทนายความว่าจะมีความเห็นอย่างไร ทนายความของจำเลยจึงได้แถลงขอให้มีการนัดตรวจพยานหลักฐาน ก่อนที่จะเริ่มการสืบพยานในคดี ศาลได้อนุญาตตามคำขอ และกำหนดนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 11 เม.ย. 60 ต่อไป

สำหรับ นายสราวุทธิ์ ปัจจุบันอายุ 32 ปี เปิดกิจการรับตัดแว่นและขายแว่นสายตาในจังหวัดเชียงราย เขาและภรรยามีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตอายุ 5 ปี และคนเล็กอายุ 6 เดือน สราวุทธิ์เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงในช่วงปี 2553 แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้สังกัดกลุ่มใด โดยมากเป็นการแสดงความคิดเห็นในโลกออนไลน์ โดยตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมาหลังการรัฐประหาร สราวุทธิ์ถูกเรียกตัวเข้าพูดคุยในค่ายทหารและถูกเจ้าหน้าที่เดินทางไปพบที่บ้านมากกว่า 10 ครั้ง และยังเคยถูกดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนประกาศ คสช.ที่ 7/2557 เรื่อง ห้ามชุมนุมทางการเมือง จากกรณีที่สราวุทธิ์ได้ไปชูป้ายในพื้นที่เชียงราย เรียกร้องให้มีการปล่อยตัวผู้ทำกิจกรรมกินแมคโดนัลด์ต้านรัฐประหารที่ถูกคุมตัวไปภายในค่ายทหาร คดีนี้ศาลทหารได้พิพากษาให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โดยให้รอการลงโทษจำคุกไว้เป็นเวลา 1 ปี

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 ส.ค.59 นายสราวุทธิ์ ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่จากปอท. เข้าตรวจค้นที่บ้านพัก พร้อมกับตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแฟลชไดรฟ์ไป หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจึงได้มีการเรียกตัวนายสราวุทธิ์ไปแจ้งข้อกล่าวหาที่สภ.เมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 11 ต.ค.59 ก่อนที่จะถูกนำตัวไปขออำนาจศาลทหารในการฝากขัง โดยนายสราวุทธิ์ไม่ได้รับการประกันตัว หลังจากญาติยื่นขอประกันตัวจำนวน 3 ครั้ง

จนภายหลังจากครบฝากขังในผัดที่ 4 ญาติของนายสราวุทธิ์ได้ยื่นขอประกันตัวเป็นครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 17 พ.ย.59 และศาลทหารได้อนุญาตให้ประกันตัวผู้ต้องหา ด้วยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท ทำให้เขาได้รับการปล่อยตัวในระหว่างต่อสู้คดี หลังจากถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลา 38 วัน โดยคดีนี้มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย มณฑลทหารบกที่ 37 เป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์