หลานพลทหารวิเชียรร้อง อสส.ถูกฟ้องไม่เป็นธรรมhttps://t.co/oxXatsabsP#ทหารถูกซ้อม #ทรมาน #VoiceNews pic.twitter.com/SKsnR721qi— VoiceTV21 (@Voice_TV) August 17, 2016
ooo
หลานพลทหารขอความเป็นธรรมอัยการ หลังถูกฟ้องแพร่เนื้อหาทหารซ้อมทรมานในโซเชียล
Wed, 2016-08-17 16:27
ที่มา ประชาไท
หลานสาวพลทหารวิเชียรยื่นหนังสือขอความธรรมต่อสำนักงานอัยการสูงสุด หลังถูกดำเนินคดีความผิดหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ กรณีโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับทหารซ้อมทรมานที่ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
17 ส.ค.2559 เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ หลานสาวของพลทหารวิเชียร เผือกสม ซึ่งถูกทำโทษจนเสียชีวิตในค่ายทหารจังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2554 เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อสำนักงานอัยการสูงสุด ในกรณีที่ตนเองถูกดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โดยถูกจับกุมตามหมายจับศาลจังหวัดนราธิวาสเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2559 ที่ผ่านมาและตกเป็นผู้ต้องหาในคดี อาญาที่ 773/2558 สภ.เมืองนราธิวาส
นริศราวัลถ์ กล่าวว่า เป็นสิทธิของผู้ฟ้องที่จะใช้สิทธิในการฟ้องคดีที่อาจทำให้เสียชื่อเสียง ซึ่งก็ต้องหาหลักฐานมาแก้ตัวกัน แต่การมาสำนักงานอัยการสูงสุดวันนี้ก็เป็นสิทธิของตนที่จะขอความเป็นธรรม ซึ่งไม่ได้มาบอกว่าตนนั้นโดนข่มขู่หรืออย่างไร ตนยินดีที่จะพิสูจน์ตัวเองในประเด็นที่ว่าตนตกเป็นผู้ต้องหาและต้องการความเป็นธรรมหรือการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม ไม่ว่าสิทธิผู้ต้องหาหรือสิทธิการดำเนินการต่างๆ
นริศราวัลถ์ กล่าวต่อว่า ตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินกระบวนการยุติธรรมกล่าวคือพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนได้มีความเห็นสั่งฟ้องสำนวนคดีนี้ให้แก่พนักงานอัยการจังหวัดนราธิวาสตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. 2559 ซึ่งตนเองโดนจับกุมเมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2559 ตั้งแต่วันสั่งฟ้องคดีจนถึงวันจับกุมเป็นเวลาผ่านมาเกือบ 3 เดือน ตนไม่เคยได้รับหมายเรียกเลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นสำนวนคดีที่สั่งฟ้องไม่มีข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่มาจากผู้ถูกกล่าวหาหรือฝ่ายตนเองเลย การมาสำนักงานอัยการสูงสุดในวันนี้จึงอยากจะขอความเป็นธรรมเพื่อให้อัยการให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย
"เรามารับรู้อีกทีคือตอนโดนหมายจับแล้ว 26 ก.ค.2559 แต่พนักงานสอบสวนแจ้งว่าเขาได้ส่งหมายเรียกมาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่เราบอกว่าเรายังไม่ได้รับหมายเรียก ซึ่งที่อยู่ที่ส่งไปเป็นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราทำการประสานไปที่มหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่มีหมายเรียกดังกล่าวดังที่เจ้าหน้าที่กล่าวอ้าง แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าสำนวนถูกส่งฟ้องไปแล้วเราจึงต้องลุกขึ้นมาขอความเป็นธรรม เพราะเราไม่ได้ทำผิดตามที่เขากล่าวอ้าง ประกอบกับเราไม่มีเอกสาร ไม่มีการให้ข้อมูลหรือให้การใดใดที่จะแสดงความบริสุทธิ์ใจหรือได้ใช้สิทธิของตัวเอง สำนวนคดีมีแค่ข้อมูลฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหนึ่ง เราจึงต้องมาขอความเป็นธรรมให้กับตัวเรา" นริศราวัลถ์ กล่าว
นริศราวัลถ์ กล่าวต่อว่า ในส่วนของคดีพลทหารวิเชียรตอนนี้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้ชี้มูลความผิดของทหารทั้ง 10 นาย ในคดีการซ้อมพลทหารวิเชียร ซึ่งทหารทั้ง 10 นาย ผิดในมาตรา 290 ร่วมกันทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตแต่ไม่ได้เจตนาฆ่า, ผิดตามมาตรา 157 เรื่องการทำผิดในหน้าที่, มาตรา 83 ตัวการหรือผู้กระทำร่วม, ผิดอาญาทหาร มาตรา 30 วรรค 2 ส่วนนี้ได้ส่งให้กับอัยการมณฑลทหารบก 46 เป็นคนพิจารณาแล้ว ซึ่งต้องรออัยการเป็นคนสั่งเรียก ส่วนในทางวินัยตนได้ร้องขอไปยังกองทัพบกให้มีการพักราชการทหารที่กระทำความผิด แต่นายทหารที่ฟ้องตนนั้นไม่ถูกพักราชการ และเป็นทหารนายเดียวที่ดำรงตำแหน่งและปัจจุบันเลื่อนยศจากร้อยตรีเป็นพันตรีทังที่โดนชี้มูลความผิดเช่นกัน ส่วนทหารที่เหลือ 9 นาย โดนพักราชการหมดแล้ว
"เราไม่ได้ต้องการแก้แค้นแค่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เราต้องการให้เกิดความยุติธรรมต่อทุกคน ทั้งต่อทหารและพลทหารวิเชียร โดยมองว่าทำไมทหาร 9 คนถึงโดนพักราชการและอีก 1 คนไม่โดน จึงออกมาเรียกร้องให้เกิดความเท่าเทียมกับตัวผู้ต้องหาด้วย เราต้องการให้เห็นว่าอย่างน้อยกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าคนไหนจะอยู่ระดับไหนก็ตามควรใช้บรรทัดฐานเดียวกัน อีกอย่างถ้าปล่อยไปและคนผิดยังคงลอยนวล คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เป็นการกระทำต่อหน้าพลทหารใหม่ 200 นาย ซึ่งกองทัพได้มีการสอบสวนที่เป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน ถ้าหากว่ามีคนผิดหลุดรอดไป พลทหารที่เห็นเหตุการณ์การกระทำผิดในวันนั้น 200 นายจะสูญเสียศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม เราจึงอยากเรียกความศรัทธาในกระบวนการยุติธรรมตรงนี้ให้กับพลทหารที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นด้วย เรียกให้กับตัวเราด้วย และเรียกให้กับคนที่ไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรมทั้งหลาย" นริศราวัลถ์ กล่าว
สำหรับคดีนี้สืบเนื่องมาจากกรณีมีการโพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับการซ้อมทรมาน พลทหารวิเชียร เผือกสม น้าชายของนริศราวัลถ์ แจ้งความร้องทุกข์โดยร้อยเอกภูริ เพิกโสภณ ต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2558 กล่าวหาว่านริศราวัลถ์ ใช้เฟซบุ๊กโพสต์และแชร์รูปพร้อมข้อความหมิ่นประมาทร้อยเอกภูริ ผู้กล่าวหา ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค. 2558 ถึงปัจจุบัน (ณ วันที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์) เหตุเกิดที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ต่อเนื่องถึง อ.เมือง จ.นราธิวาส เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายและเสียชื่อเสียง
ต่อมาพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนราธิวาส ซึ่งเป็นท้องที่รับผิดชอบตามที่อ้างถึงที่เกิดเหตุ ได้รับเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2558 โดยกล่าวหาว่า นริศราวัลถ์ได้ใช้เฟสบุ๊ค โพสต์และแชร์รูปพร้อมข้อความหมิ่นประมาท ทำให้ร้อยโทภูริได้รับความเสียหาย อันเป็นความผิดฐาน ‘หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ’