บิ๊กตือไปพม่าเที่ยวนี้พอดีได้ยื่นหมูยื่นหมากับเหมียนหม่า ‘เทียร์’ ไม่ร่าของอเมริกา
เรื่องการค้ามนุษย์ข้ามเขตแดนที่อเมริกาทำหน้าที่ตำรวจโลก ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยทั่วโลกกว่า ๑๙๐ ประเทศ ทำเป็นรายงาน ‘Traffic in Persons Report’ รายปี และจัดหมวดหมู่เป็น ๔ เทียร์ จากดีที่สุดเทียร์หนึ่งไปถึงเลวที่สุดเทียร์สาม
คั่นตรงกลางมีสองเทียร์ได้แก่ เทียร์สอง เป็นพวกที่ไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำของกฎหมายป้องกันการค้ามนุษย์ข้ามชาติ กับเทียร์สองแต่ต้องคอยจับตาดู เป็นพวกที่ไม่ค่อยปฏิบัติตามระเบียบเท่าไหร่นัก แต่แสดงความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไข แม้กระนั้นก็ยังไม่แน่ว่าจะแก้ได้หรือถอยกลับไปสอบตกอีก
ไทยได้เทียร์สองชนิดโดนจับจ้อง ขณะที่หม่องถูกดีดลงไปเทียร์สาม สลับกันระหว่างท้ายสุดกับรองโหล่ เมื่อปีที่แล้วพม่าได้รองบ๊วยขณะที่ไทยได้ที่โหล่
คนในรัฐบาล คสช. ดีใจกันใหญ่ ตั้งแต่บิ๊กตู่-บิ๊กตือยันบิ๊ทช์ดอน ไปถึงรองโฆษกตำรวจแห่งชาติบอกว่าต่อไปต้องได้เทียร์หนึ่ง
ที่จริงไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าอเมริกาแบะท่าให้โอกาส คสช. ทำตัวเป็นเด็กดี behaves ดูสิว่าปีหน้าจะไปสู่การเลือกตั้ง รัฐบาลพลเรือน และบรรยากาศประชาธิปไตยอย่างที่เที่ยวไปสัญญาไว้ที่โน่นที่นี่ แต่ยังไม่ได้ทำจริงเสียทีไหม
จริงอยู่ว่า คสช. เปิดให้มีการจับกุมและดำเนินคดีต่อก๊วนค้ามนุษย์แรงงานข้ามชาติในไทย จนนายตำรวจที่รับงานนี้ต้องหนีลี้ภัยไปอยู่ออสเตรเลีย เพราะหวั่นเกรงเสียชีวิต คสช.ไม่ได้ให้ความมั่นใจว่าจะคุ้มภัยให้ คดีก็แช่อยู่แค่นั้น
ดังที่สำนักงานกรีนพี้ชในประเทศไทยได้ออกมาแถลงความผิดหวัง ที่สหรัฐด่วนเลื่อนขั้นความร่วมมือกำจัดการค้ามนุษย์ของไทยเร็วไป
“ปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทยนั้นฝังรากลึกอย่างเป็นระบบในแบบจำลองทางธุรกิจ ก่อนที่จะตัดสินใจอย่างละเอียดรอบคอบ ประเทศไทยควรต้องพิสูจน์ไม่เฉพาะเพียงแต่เจตจำนง แต่ควรรวมถึงศักยภาพที่เชื่อมั่นได้ในการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายในการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมต่อแรงงาน”
นั่นเป็นถ้อยแถลงจากนายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีชประจำไทย เมื่อเช้าวันนี้ ด้วยเหตุผลว่า
“ขณะที่รัฐบาลไทยดำเนินการขั้นตอนสำคัญโดยการยกร่างและปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แต่การดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายยังคงล่าช้าและไม่สอดคล้องกัน กระบวนการยุติธรรมทางอาญาเพื่อขจัดกระบวนการค้ามนุษย์ยังมีจำกัด”
(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1467343589)
องค์กรระหว่างประเทศ ‘พันธมิตรเพื่อยุติการค้ามนุษย์ข้ามแดน’ หรือ ‘Alliance to End Slavery and Trafficking’ ก็ออกมาเตือนเช่นกันว่า การยกระดับประเทศไทยซึ่งถูกขึ้นบัญชีดำมาเป็นเวลาสองปีครั้งนี้ ‘ไม่สมควรแก่เหตุ’ หรือ unjustified
เมื่อปีที่แล้วมาเลย์เซียซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับการยกระดับให้พ้นจากบัญชีดำแบบเดียวกันกับที่ไทยได้รับในปีนี้ แต่เมื่อปีที่แล้วสหรัฐถูกโจมตีอย่างหนักว่าอัพเกรดมาเลย์เซ๊ยด้วยเหตุผลทางการเมือง
อย่างไรก็ดีสำหรับประเทศไทยในปีนี้ รายงานทีพีอาร์เห็นว่าการค้ามนุษย์ข้ามชาติยังคงเป็นปัญหาใหญ่ในธุรกิจค้ากามของไทย
แต่จากการที่รัฐบาลไทยพยายามแก้ปัญหาแรงงานทาสในกิจการประมงและอุตสาหกรรมอาหารทะเล (ที่เป็นข่าวใหญ่การจับกุมและตรวตราที่มหาชัยเมื่อไม่นานมานี้) พร้อมด้วยการกำหนดระเบียบกำกับควบคุมเพิ่มเติม จึงได้เลื่อนขั้นขึ้นมาจากต่ำสุด
(https://asiancorrespondent.com/…/trafficking-in-persons-20…/)
นั่นไม่ได้หมายความว่า ถ้าเพียงแต่ออกประกาศและเที่ยวไปพูดกับคนโน้นคนนี้ว่าได้ดำเนินการแก้ไข โดยที่ในความเป็นจริงทำแค่ฉาบหน้าแบบคดีโรฮิงญาอยู่อีก
ปีหน้าถ้าหากกระบวนการผันการเมืองการปกครองไปสู่พลเรือนผ่านการเลือกตั้งยังติดกึกติดกัก เพราะ คสช.จะเอาให้ได้อย่างใจทุกอย่างละก็ การกลับไปอยู่ในบัญชีดำไม่ใช่เรื่องยาก
จะมีแต่ผู้ที่หลงใหลการใช้อำนาจเด็ดขาดของ คสช. ในการปกครองเท่านั้นที่คิดว่า การประกาศว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรนั่นเพียงพอแล้ว เป็นสูตรสำเร็จที่ใช้แก้ปัญหาทุกอย่างได้ เช่นที่ คสช. พยายามจะปฏิเสธเสียงโต้เตือนของฝ่ายเห็นต่าง
ไม่มีใครที่อยู่ภายนอกกรอบของครอบกะลา รวมทั้งองค์กรทั้งเอกชนและของรัฐในต่างประเทศจะไม่รู้ถึงพฤติกรรมเหี้ยมร้ายของ คสช. ในการขู่เข็ญ ทำร้าย และอุ้มหายผู้ที่ต่อต้าน คสช. ซึ่งไม่ใช่เซเล็บ หรือคนดัง ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างเบาก็มีข่าวออกมาทางสื่อสังคมและสื่อทางเลือกเนืองๆ ว่าชาวบ้านที่นั่นที่นี่ถูกทหารไปเยี่ยม ‘ปรับทัศนคติ’ โดยไม่เป็นข่าวในกระแสหลัก
รวมทั้งอย่างหนัก เช่นการอุ้มหายเสื้อแดงลี้ภัยที่อยู่ในลาว ดังปรากฏการสนทนาบนกระดานไซเบอร์อยู่ขณะนี้
จากโพสต์ของ Junya Yimprasert “ผมคิดว่ามันเป็นการอุกอาจและป่าเถื่อนมาก ที่ทหารไทยสามารถระดมกองทัพเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านเป็นร้อยคน เพื่ออุ้มผู้ลี้ภัยชาวไทยที่อยู่ในการคุ้มครองของ UNHCR กันอย่างเย้ยฟ้าท้าดินเช่นนี้
นึกถึงกรณีที่ทหารไทยไม่แคร์ UNHCR แม้แต่น้อยในการร่วมมือกับจีนส่งกลับชาวอุยกูร์ จนถูกประนามกันมารอบหนึ่งแล้ว แต่นี่แบบอุกอาจกว่ามาก ชนิดว่าส่งกองทัพเข้าไปจับกุมตัวกันในประเทศเพื่อนบ้านกันเลยทีเดียว
เผด็จการประยุทธ์เลวทรามมากที่สุดอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ ที่ไม่แคร์กฎกติกาใดๆ ทั้งสิ้นในโลกนี้”
Spencer Isenberg :“ถ้าเข้าไปในประเทศนั้นจริงๆ ทางการของประเทศนั้นจะยอมได้อย่างไร? และเวลาเดินทางข้ามเขตแดนหรือข้ามประเทศ ไม่มีพิธีการทางการเข้าเมืองหรือออกนอกเมืองกันหรือ?
ไม่อย่างนั้น ประเทศเพื่อนบ้านก็จะต้องถูกประณามไปด้วยนะคะ”
ทางด้าน Nithiwat Wannasiri ก็โพสต์ไว้เช่นกันทั้งเป็นการต่อยอด และสะท้อนความขื่นขมไม่น้อย
“คนหายไม่ใช่เรื่องปกติ ผู้ลี้ภัยหายยิ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องสนุก นี่ไม่ใช่รายแรกของรัชสมัย และย่อมไม่ใช่รายสุดท้ายเช่นกัน
ขอยืนยันเพียงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดหรือความบกพร่องของผู้ให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยแต่อย่างใด...แต่มันเป็นความอำมหิตของใครบางกลุ่ม ที่ต้องการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองของพวกตนโดยไร้มนุษยธรรม และไม่เลือกวิธีการ
จำนวนผู้ลี้ภัยไทยจากอำนาจเผด็จการรัฐไทย อาจมีอีกนับสิบนับร้อยคนที่ยังคงต้องอยู่อย่างยากลำบากหลังจากนี้ และแทบจะหาช่องทางไปต่อไม่ได้ถ้าหากเส้นไม่ใหญ่พอหรือทุนทรัพย์และต้นทุนทางสังคมไม่ถึง
บางคนอาจคิดว่าการติดอยู่ในคุกนั้นหนักแล้ว ก็อาจใช่...ในคุกนั่นหนักกว่าหลายเท่าในหลายๆ เรื่องจริงๆ
...แต่วันนึงก็อาจยังมีกำหนดได้ออก
แต่การลี้ภัย...ไม่เคยมีกำหนดได้กลับบ้าน หรือได้ออกจากสถานะคนไร้รัฐแบบนี้...ไม่เคยมี”
เรื่องอย่างนี้ไปถึงโอบาม่าแล้ว แต่คงทำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะของเขาก็กำลังเปลี่ยนผ่านเหมือนกัน
ส่วนจะไปถึงทรั้มพ์ไหม ถึงไปก็ไม่มีประโยชน์ เห็นๆ กันอยู่
ที่ควรทำน่าจะต้องให้ไปถึงฮิลลารี่ พอมีหวังมั้ง ท่าทางเธอกับยิ่งลักษณ์มักคุ้นกันดี