ทำไปทำมาคำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. ไม่รับร่าง รธน. ทำให้เกิดฟองฟู่ฟ่าเหมือนกัน
“ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนี้ ขอย้ำว่าไม่เกี่ยวกับระบบการเลือกตั้ง หรือเรื่องพรรคการเมือง แต่ไม่รับเพราะไม่ตอบโจทย์ประเทศ ไม่เป็นกติกาถาวรที่เอื้อให้ประเทศไทยก้าวพ้นจากสภาพเดิม”
คือแทนที่ไม่รับเพราะทำให้ระบบพรรคการเมืองง่อยเปลี้ย เพราะคะแนนเสียง ส.ส. ในสภาจะเป็นเบี้ยหัวแตก ไม่มีทางพรรคไหนได้เสียงข้างมากเด็ดขาดตั้งรัฐบาลของตนเองได้ อันควรเป็นจุดยืนน้อยที่สุดในการรักษาคุณค่าของหัวหน้าพรรคการเมืองในระบอบรัฐสภา
แต่นายอภิสิทธิ์กลับไม่สน คงเพราะเคยได้เป็นรัฐบาลทั้งที่เสียงข้างน้อย ด้วยการอุ้มสมจากทหาร ไปเช็คคะแนนกันในค่ายบีบงูเห่าสุรินทร์แปรพักตร์
หล่อใหญ่ได้แต่เก็บความเลวของร่างฯ ที่มีการอภิปรายกันไว้อย่างละเอียดแล้ว เอามาใช้ตามจำเป็น เช่น เรื่อง สว. ที่คสช.แต่งตั้งมาแย่งออกเสียงคัดตัวนายกฯ เรื่องสิทธิชุมชน-สิ่งแวดล้อม เรื่องสวัสดิการ การกระจายอำนาจ และไม่สามารถตอบโจทย์การกระตุ้นเศรษฐกิจ
แล้วไปเน้นที่ไม่รับเพราะปราบโกงไม่พอ และ “ถ้าร่างนี้ผ่าน คนกลุ่มแรกที่ได้ประโยชน์คือกลุ่มคนที่โดนคดีจำนำข้าว”
นั่นคือ ‘อัด’ รัฐบาลก่อนตามสูตร คสช. นั่นละ ถึงได้สะบัดลิ้นแผล็บๆ “สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. มาจัดทำฉบับใหม่ตามโรดแมปชั่วคราวเดิมไม่เปลี่ยนแปลง”
ตรงกับที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี เหน็บให้ว่า ‘hypocrite’ หน้าไหว้หลังหลอก “มันเป็นตรรกะแบบความหมายเร้น ไม่มีทั้ง integrity ไม่มีทั้ง sincerity” ชนิดว่าถึงเวลาตัวเอง ‘กา’ จริงก็อาจกาให้ผ่านก็ได้ เพราะคำพูดของเขาหมดความหมายไปหลายปีแล้ว
กระนั้นก็ยังไม่วายสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตนเองด้วยการแนะนำบิ๊กตู่เวลาร่างใหม่ใช้รัฐธรรมนูญ ๕๐ เป็นตัวตั้ง พร้อมสาธยายยืดยาว แต่ทั้งประยุทธ์และประวิตร (วงษ์สุวรรณ) สองผู้ยิ่งใหญ๋ คสช. ไม่ยอม ‘เก็ต’
โดยเฉพาะตัวหัวหน้าใหญ่มองเป็นการ ‘ประชด’ แถมแจงไอเดียเจ๋งกว่า “ผมก็เอาทุกอันมาร่าง อะไรที่มันดีก็เอามารวมกันมันก็จบแล้ว”
พูดแบบนี้ ชนิดที่ Anurak Jeantawanich (ฟอร์ด เส้นทางสีแดง) ที่เดินสายรณรงค์โหวตโนไปตามที่ต่างๆ มาหลายเดือน อดชมไม่ได้
“นานๆ พูดเข้าหู ประยุทธบอกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็ร่างใหม่ นำข้อดีทุกฉบับมารวมกัน นี่เป็นการตอบคำถามที่เข้าท่าที่สุดในฐานะนายกที่ผมได้ยินมา”
ก็นั่นละ เนื้อความตามจริง อภิสิทธิ์อาจไม่ได้มีความหมายอะไรต่อประยุทธ์มากเท่าสุเทพ เทือกสุบรรณ การออกมาแถลงไม่รับร่างฯ มีชัย ย่อมเป็นการหักด่านกับผู้ที่ในช่วงสั้นๆ หนึ่ง เคยคิดจะชิงการนำพรรค
สุเทือกจะรู้สึกอย่างไรยังไม่เป็นข่าว แต่ลูกชายหัวแก้ว แทน เทือกสุบรรณ ออกมาจวกม้าร์คแทนพ่อ “ถ้าผมเป็นคุณอภิสิทธิ์ จะลาออกจากหัวหน้าพรรค เลิกเล่นการเมืองไปทำงานองค์กรต่างประเทศ...ซะเลย” (ข่าวคมชัดลึก)
ผลดีที่ได้ของการ ‘มาช้าก็ยังอุตส่าห์มา’ ของนายอภิสิทธ์ ขณะที่หลายๆ คนในพรรคล้วนออกมา ‘ไม่เอา’ ร่างฯ มีชัยกันมากหน้า อยู่ที่สถานะของตนเองภายในพรรค ที่ปริ่มจะถูกผลัดใบหากใครอื่นมี ‘guts’ กล้าหาญพอ
ก็คืออย่างน้อยได้ พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ประกาศจะกลับเข้าพรรค “พรุ่งนี้ผมจะเข้าพรรค หลังจากเกือบ ๓ ปีแล้วที่ผมแทบจะไม่ได้เข้าพรรคเลย”
สำหรับขุนพล ปชป. กระบี่ผู้นี้เป็นที่รู้กันว่าวิพากษ์แก๊งไอติมของหล่อม้าร์คมากกว่าพิชัย รัตตกุล เสียอีก เขาอ้างว่า
“ผมก็แทบจะเป็นคนแรกที่ออกมาประกาศตนว่า ในชั้นประชามติผมจะลงมติ ‘ไม่รับร่าง รธน.’ แม้ว่าจะ
มีการใช้เล่ห์เพทุบายออก กม.ประชามติให้แสนสัปดน เพียงเพื่อเอาเปรียบผลประชามติก็ตาม”
มีการใช้เล่ห์เพทุบายออก กม.ประชามติให้แสนสัปดน เพียงเพื่อเอาเปรียบผลประชามติก็ตาม”
ยิ่งกว่านั้น ประเด็นที่เขาอ้างถึง “อดีตเลขาธิการพรรคของผมที่ประกาศลาออกไปจากพรรคพอเป็นพิธีการ
ออกประกาศเกือบทุกวันให้รับร่าง จนเหมือนร่าง รธน.ฉบับนี้เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิที่จะนำประเทศชาติไทยไปสู่ยุคพระศรีอารย์ จนสังคมต้องตั้งคำถาม...”
นั่นน่าจะเป็นเหตุสำคัญของการออกมาแจ้ง ‘ไม่รับ’ ร่างรัฐธรรมนูญโดยนายอภิสิทธิ์ ทำนองว่า ยอมตัดหู ไม่ยอมตัดแขน