วันอังคาร, กรกฎาคม 19, 2559

‘คดี’ เนติวิทย์ ‘ว้อคเอ๊าท์’ พิธีถวายบังคม ร.๕ และ ร.๖ ที่จุฬาฯ ถูกทำให้เป็น ‘วาระ’ ทางสังคมไปแล้ว




‘คดี’ เนติวิทย์ ‘ว้อคเอ๊าท์’ พิธีถวายบังคม ร.๕ และ ร.๖ ที่จุฬาฯ ถูกทำให้เป็น ‘วาระ’ ทางสังคมไปแล้ว

เมื่อ “สำนักข่าวที่อาศัยที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตยริย์อย่างทีนิวส์” ระดมข้อเขียนบริภาษณ์เนติวิทย์ชุดใหญ่ติดกันมาเกือบสิบตอน ด่ากราด “เด็กนรก” “ลากไส้” “ชั่วร้าย” “มีปมด้อย”

ชนิดที่ Thanapol Eawsakul ตั้งข้อสังเกตว่า “จะปลุกมวลชนมากระทืบ” นั่นละ

(ใช่ เป็น ‘คดี’ เพราะมีคนตั้งตัวเป็นโจทก์ ฉวยจังหวะ ‘ยื้อยุด’ กระแส สร้างค่าแก่ตน ทั้งระดับ ‘แสวงการ’ และระเด่น ‘ยุกะลา’ ออกมาหาเรื่องให้เด็กถอนหงอก)

เป็นที่เข้าใจกันว่านายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตใหม่คณะรัฐศาสตร์ จุลาลงกรณมหาวิทยาลัย ประท้วงพิธีกรรมถวายบังคมพระรูป โดยอ้าง “รัชกาลที่ห้าได้ทรงโปรดให้ยกเลิก ธรรมเนียมการหมอบกราบไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องมีพิธีการเยี่ยงนี้อีกต่อไป”

แต่ พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ไม่ต้องการเข้าใจ กล่าวหาว่า “ต้องการสร้างความเด่นให้ตัวเอง ตามที่เคยทำมาเป็นประจำ เช่นเดียวกับพวกที่มีปมด้อยหลายๆ คน”

และยังโยงไปถึง “พฤติการณ์คาบลูกคาบดอก” เพื่อหลีกเลี่ยง “การปฏิญานที่ระบุว่า ต้องรักและเคารพ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์”





พลโทนันทเดชใช้เหตุผลเพียงว่า “การถวายบังคม เป็นราชประเพณีทีคนไทยยึดถือปฏิบัติในการถวายความเคารพแด่พระมหากษัตริย์ พระราชินี รวมถึงพระบรมรูปหรือพระราชานุสาวรีย์ ในงานรัชพิธีสำคัญต่างๆ”

และว่า “การถวายบังคมกับหมอบกราบนั้นไม่เหมือนกัน” (อันหนึ่งเงยขึ้นจรดหัวอีกอันก้มลงแตะดินงั้นหรือ)

ถ้าฟังเหตุผลของ อจ. Pavin Chachavalpongpun ที่ “พูดในฐานะศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ จุฬา” เสียหน่อย พอช่วยไม่งั่งได้อยู่

“เนติวิทย์เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่ถามคำถามแบบนี้ เป็นคำถามที่ผมก็ถามมานาน ผมไม่เชื่อว่าเป็นความเจตนาป่วน





มีหลายคนออกมาด่าว่า ไม่นับถือผู้ก่อตั้งก็ไม่ต้องมาร่วมงาน ไม่อยากกราบก็อยู่บ้าน... อ้าว พูดงั้นได้ไงครับ ในเมื่อการไปร่วมงานก็เป็นสิทธิของเนติวิทย์ การยืนขึ้นไม่ก้มกราบก็เป็นสิทธิของเค้า เค้าไม่ไปบอกให้คนอื่นเลิกกราบซะทีไหน”

จากนั้นก็มีนายกิตติทัช ชัยประสิทธิ์ ศิษ์เก่าจุฬาฯ คนดังวงสังคมเขียนแสดงความรอบรู้ราชประเพณี ว่า ร.๕ ทรงยกเลิกการหมอบกราบเพราะต้องต่อสู้กับฝรั่งล่าอาณานิคม “มีนัยยะถึง ‪#‎พิธีการทางราชการ‬ แต่ไม่ได้หมายความถึงว่าท่านมาบังคับผู้อื่นให้เลิก ‪#‎การหมอบกราบในเชิงวัฒนธรรมประเพณี‬ แต่อย่างใด”

นายคนนี้เหมาเองว่า “ใครที่ยังอ้างพระประสงค์ของ ร.๕ แล้วมาโจมตีการกราบในพิธีการต่างๆ โดยไม่ดูบริบทขอให้เลิกเถอะครับ เพราะมันไม่ได้ทำให้ตัวท่านดูดีเลย แต่มันสะท้อนความตื้นเขิน”

แล้วยังอ้างอิงสิ่งที่เป็นของฝรั่ง (‪#‎Social‬ Etiquette) ในกรณีเพลง Messiah ของ George Frideric Handel บรรเลงในงานพิธีหรือโรงละคร “ตั้งแต่กษัตริย์ พระราชินี ประธานาธิบดี จนถึงคนทั่วไปจะ ‪#‎ยืนแสดงความเคารพต่อบทเพลงนี้‬

อันนี้คุณ touch เองน่าจะสำคัญผิดไปนิดนะ เพลงเมสไซอะห์เนี่ยมันเป็นเรื่องความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์โบร่ำโบราณ ที่โลกปัจจุบันทั้งคนยิวและคริสเตียนที่เคร่งหน่อยจะยึดถือเป็นแค่พิธีกรรม คนรุ่นใหม่ก็ให้เกียรติยืนนิ่งสงบถ้าร่วมอยู่ในกิจกรรม

แต่หากผู้ใดไม่ ‘ครึ’ ก็เลี่ยงซะได้ ไม่มีใครบังคับให้ต้องไปก้งโค้ง-คลาน-กราบ เหมือนพิธีถวายบังคมของเด็กจุฬาฯ (นี่ไม่ได้มองอย่างคนนอกล้วนๆ ที่เคยติดติ่งอยู่หน่อยนึงนะ)

บริบทที่คุณทัชว่า ก็คือแฮชแท็ก ‘ยืนนิ่ง’ ไม่ใช่ ‘ก้งโค้ง-คลาน’ นั่นละ เข้าใจนะ

ทั้งกรณีคุณทัชและคุณพลโทน่ะ คุณแฟร้งค์ (เนติวิทย์) แกไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ อย่างที่มีคอมเม้นต์ในโพสต์ของธนาพลรายหนึ่งบอกทำนองว่า ปลาเล็กเนติวิทย์ไม่จับ ไปจับปลาใหญ่ซึ่งทำตัวอีแอบ ไม่ด่าตรงๆ แต่กระทบคราด และอาจไม่เป็นข่าวถ้าหากเนติวิทย์ไม่จับมาเล่นเอง

Yuttapon Radchavoraphong :“(คนระดับนั้นต้องลงมาวิพากษ์ เด็กปี ๑ คนนึงที่ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลย มันค่อนข้างดูน่าทุเรศอยู่แล้ว) มองว่าเขาเล่นเป็น และสังคมคนกลางๆ ที่ไม่ได้มีอคติอะไรกับเขามาก่อนจะเริ่มเอียงไปทางเขา”

จากข่าว ‘อัด’ ของทีนิวส์อีกแหละที่ลงว่า “ล่าสุด นายเนติวิทย์ก็ได้ออกมาแชร์ข้อความของ ม.จ.จุลเจิม ยุคล” ที่ว่า “ขอเป็นกำลังใจให้กับศิษย์ปัจจุบันและศิษย์เก่า ในการต่อสู้กับมะเร็งร้ายในจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย”

เนติวิทย์แค่คอมเม้นต์ “มะเร็งร้ายกันเลยทีเดียวนะครับ ไม่เป็นไร แล้วแต่มุมมอง” จากนั้นก็โฆษณาขายหนังสือ “ฝากถึงท่าชายยุกะลา” ซื้อไปลองอ่านสักสิบเล่ม

แถมยังชักชวนให้เพื่อนนิสิตไปแสดงความเห็นต่อพิธีกรรมถวายสัตย์ปฎิญานตนของจุฬา ตามลิ้งค์ที่ให้ไว้ด้วย

ขณะที่ทีนิวส์ฟัดต่อ ‘เด็กนรก’ “ม.จุฬาฯ ทำอะไรอยู่???...ล่าสุดปล่อยเนติวิทย์เคลื่อนไหวไม่จบถึงขั้นนี้ ส่อสร้างความแตกแยก ลุกเป็นไฟ”

จึงถึงคราขาใหญ่ตัวจริงออกโรงบ้างละ ในฐานะที่เนติวิทย์ “เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของสุลักษณ์ ศิวรักษ์”





จากโพสต์ Sulak Sivaraksa

“ถาม: อาจารย์สุลักษณ์ คิดเห็นยังไงกับการที่ หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล โพสเฟซบุ๊กเขียนเป็นนัยว่า นิสิตจุฬาฯ ที่ไม่หมอบกราบ และออกมาขึ้นมาโค้งคำนับในพิธีถวายสัตย์ฯ เป็นมะเร็งร้าย

ส.ศิวรักษ์: นี่เป็นสมัยประชาธิปไตยนะ หม่อมเจ้าไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ที่จะวิเศษกว่าคนธรรมดาสามัญ จะเอาการเป็นหม่อมเจ้ามาเล่นงานคนธรรมดาสามัญทำให้เสื่อมเสียถึงพระราชวงศ์

หม่อมเจ้าองค์นี้ควรจะสังวรระวังกริยามารยาทและต้องเคารพพระบรมเดชานุภาพที่รัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชโองการให้ยกเลิกหมอบยกเลิกคลาน นิสิตคนนั้นก็ทำตามพระราชโองการ แล้วหม่อมเจ้าองค์นี้ไม่รู้เลยหรือ หลับตาพูดส่งเดชได้ยังไง”

ตานี้เกิดมีประเด็นที่ ปุ๊ ธนาพล บก. ฟ้าเดียวกันปรารภไว้บนหน้าเฟชบุ๊คของเขา

“ถ้าเกิดบ้านเมืองนี้ ‘ลงแดง’ ขึ้นมา เนติวิทย์อาจจะเป็นเหยื่อรายแรก ๆ ที่ต้องสังเวย จากอำนาจประชาชนอุลตรารอยัลลิสต์”

“การไปช่วยดีเฟนด์เนติวิทย์ ด้านหนึ่งก็ถือเป็นการดีเบทกันอย่างปกติ แต่ด้านกลับกันคือ เราเป็นคนหนึ่งที่พยายามดันให้เนติวิทย์ขยับเส้นออกไปเรื่อย ๆ แน่นอนว่ามันถูกต้องในหลักการ แต่จะปลอดภัยสำหรับเนติวิทย์หรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

“แล้วคนที่จะมากระทืบเนติวิทย์ ถ้าจะมี คงไม่ใช่นิสิตจุฬา หรือเจ้าหน้าที่รัฐ แต่จะเป็นคนลักษณะ ‘อุลตรารอยัลลิสต์’ ที่มีการจัดตั้ง แบบเดียวที่จะมากระทืบจ่านิวเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๙”





นี่ก็เป็นประเด็นน่าคิดและต้องช่วยกันขบให้แตกเผาะและตกผลึก ในเมื่อทางหนึ่ง “เนติวิทย์อาจต้องสงบปากสงบคำ และยอมเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่เค้าไม่เห็นด้วยหรือ?” ดังที่ อจ.ปวินถาม

อีกทางหนึ่งจากข้อความของธนาพล “คำถามของผมก็คือ การเถียงกับคนเหล่านั้น การเถียงด้วยพยานหลักฐานนั้นเพียงพอหรือ”

วลีสุดท้ายนี่ละสำคัญ ‘เพียงพอหรือ’ ถ้าพอ รับไหวไหม ถ้าไม่พอจะไปถึงไหน

ลงเอยคงมาสุดที่คำถามของ พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ “จะเลือกคึกฤทธิ์หรือเปรม” : ‘กูไม่กลัวมึง’ หรือว่า ‘กลับบ้านเถอะลูก’ ล่ะ

ตรงกลางคงไม่มีแล้วละ