วันอังคาร, มกราคม 16, 2567

ทุนรุกหนัก นายทุนกว้านซื้อที่ดิน ฟ้องขับไล่ ‘ชาวนา’ อ้างบุกรุก เรียก 23 ล้าน จนหมดตัวไม่เหลืออะไรเลย



นายทุนกว้านซื้อที่ดิน ฟ้องขับไล่ ‘ชาวนา’ อ้างบุกรุก เรียก 23 ล้าน จนหมดตัวไม่เหลืออะไรเลย

15 มกราคม 2567
มติชนออนไลน์

ทุนรุกหนัก สะเทือนชาวนาถูกฟ้องขับไล่ไร้ที่ทำกินหมดสิ้นทรัพย์สินทั้งตัว หลังทุนใหญ่ใช้ช่องว่างทางกฎหมายกำหนดค่าเสียหายฟ้องเรียกตามใจชอบเกินกว่าพื้นที่เช่าจริง เป็นมูลค่ามหาศาลแบบเหมารวมยกทั้งแปลง 1,400 ไร่ ทำลายชีวิตคนไร้ทางสู้ วอนนักกฎหมายผู้เชี่ยวชาญกระบวนการยุติธรรมเข้าช่วยเหลือ เป็นความหวังสุดท้ายในชั้นศาลปกครอง

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 15 มกราคม ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก นายพงศธร อายุ 60 ปี ภูมิลำเนาอยู่ ต.คลองหลวงแพ่ง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ว่าทุกวันนี้ตนเองต้องกลายมาเป็นคนล้มละลายไร้อาชีพทำกิน โดยต้องหาเช้ากินค่ำรับจ้างแบบรายวันประทังชีวิต หลังจากถูกนายทุนฟ้องแพ่งขับไล่ให้ออกไปพ้นจากที่ดินที่เคยทำกิน บนเนื้อที่นาข้าวและบ่อปลาจำนวน 50 ไร่

ซึ่งผืนนาดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ ม.13 ต.คลองหลวงแพ่ง ที่ตนได้เคยเช่าทำนามานานกว่า 30 ปี จากเจ้าของเดิมที่เปลี่ยนมือมาแล้ว 2 ราย โดยที่ตนนั้นได้จ่ายค่าเช่ามาตลอดในทุกๆ ปี แต่ต่อมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.2556 เจ้าของที่ดินรายที่ 2 ที่ยังคงเรียกเก็บค่าเช่านาอยู่ได้ขายที่ดินให้แก่กลุ่มนายทุนรายใหญ่ ที่ได้เข้ามากว้านซื้อที่ดินจนสามารถรวบรวมเป็นแปลงใหญ่ได้มากถึงประมาณ 1,400 ไร่ โดยไม่ได้มีการบอกกล่าวให้แก่ตนได้รับทราบ

โดยตนยังคงทำนาและเลี้ยงปลาอยู่ภายในที่ดินแปลงเดิม ต่อมานายทุนรายนี้ได้ไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหายจากตนในข้อหาบุกรุกและเป็นการขับไล่ โดยคิดเป็นเงินค่าเสียหายมูลค่าแบบเหมารวมทั้งแปลง 1,400 ไร่ พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวน 23 ล้านบาท โดยเขาอ้างต่อศาลว่าเขาได้รับความเสียหายจากการที่ตนไม่ยอมออกไปจากพื้นที่ดินที่เขาเพิ่งซื้อไป เพราะไม่สามารถเข้ามาทำประโยชน์เป็นหมู่บ้านจัดสรร เป็นที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมและไซโล รวมถึงสนามกอล์ฟตามที่เขาอ้างว่าได้เตรียมแผนการเข้ามาดำเนินการไว้ได้




พร้อมระบุว่าติดปัญหาอยู่ตรงแปลงที่ดินบริเวณที่ตนกำลังทำนาอยู่ ซึ่งเป็นจุดก่อสร้างสนามกอล์ฟหลุมที่ 18 ทำให้ไม่สามารถสร้างได้ จึงได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากตนเป็นมูลค่าความเสียหายจากที่ดินทั้งแปลงจำนวน 1,400 ไร่ ตามที่เขาระบุว่าเข้าทำประโยชน์ไม่ได้ ทั้งที่นาข้าวและบ่อปลาของตนนั้นตั้งอยู่บนแปลงที่ดินเพียงแค่ 50 ไร่เท่านั้น และเขายังอ้างต่อศาลว่าหากขับไล่ตนออกไปจากแปลงที่ดินได้แล้ว เขาจะเร่งดำเนินการเข้าทำประโยชน์ภายในระยะเวลา 2 ปี

โดยในขณะนั้น ตนเองได้ต่อสู้ไปตามกฎหมาย พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คชก.) เนื่องจากอาชีพเกษตรกรรมมีกฎหมายคุ้มครองว่า หากเช่าทำนาในที่ดินมาครบ 1 ปี เจ้าของที่ดินจะให้เลิกทำจะต้องบอกกล่าวให้เลิกทำก่อน โดยมีระยะเวลาให้เลิกภายใน 5 ปี โดยชาวนาจะยังคงมีสิทธิที่จะทำนาต่อไปได้อีก 5 ปี แต่ต่อมาเมื่อปี 2561 ศาลแพ่งได้มีคำตัดสินให้ตนเองต้องจ่ายเงินชดใช้ ค่าความเสียหายแก่บริษัทดังกล่าวเป็นเงินจำนวน 23 ล้านบาท โดยที่ไม่ได้มีการนำกฎหมายที่เกี่ยวกับการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมาเข้าเป็นส่วนประกอบในการพิจารณาอ่านคำพิพากษาด้วย

จากนั้นตนได้พยายามต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ และได้ตัดสินให้ตนยังต้องชดใช้แก่นายทุนเป็นเงินจำนวน 11 ล้านบาท จนมาถึงชั้นศาลฎีกาได้ตัดสินให้ตนชดใช้เป็นเงินจำนวน 4 ล้านบาท ซึ่งตนเองได้ใช้เงินทุนและทรัพย์สินที่มีอยู่ไปต่อสู้ทางคดีมาโดยตลอด จนไม่มีเงินเหลือที่จะชดใช้ตามคำสั่งศาลที่ตัดสินให้ต้องชดใช้เป็นเงินจำนวนกว่า 4 ล้านบาท และได้ถูกบังคับคดีให้เข้ามายึดทรัพย์สินที่ตนมีอยู่



คือแปลงที่ดินบ่อเลี้ยงปลาจำนวน 34 ไร่ในพื้นที่ ต.บางกระเจ็ด อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ไปขายทอดตลาด เพื่อชดใช้ค่าเสียหายที่ถูกฟ้องเรียกเก็บ ตามการตัดสินคดีของศาลแพ่งในราคาถูก ทั้งที่ที่ดินในเวลานั้นจนถึงปัจจุบัน มีมูลค่าสูงนับสิบล้านบาทแล้ว จึงทำให้มูลค่าไม่เพียงพอต่อจำนวนเงินที่ต้องจ่ายให้แก่ทางฝ่ายนายทุน โดยเขาขายทอดตลาดที่ดินแปลงของตนไปได้เพียงประมาณ 3 ล้านบาทเท่านั้น

จนทำให้ทุกวันนี้ตนต้องกลายเป็นคนล้มละลาย หมดสิ้นทั้งทรัพย์สินและอาชีพทุกด้าน ไม่มีอะไรเหลือติดตัวเลย และต้องไปรับจ้างบ่อเลี้ยงปลาที่มีรายได้มาประทังชีวิตเพียงเดือนละ 7,000 บาทเท่านั้น จึงอยากวอนขอให้นักกฎหมายผู้มีจิตใจเมตตาที่จะสามารถช่วยเหลือได้ เข้ามาช่วยเหลือทางกฎหมายต่อตนเองบ้าง เนื่องจากคดีทางปกครองนั้นยังคงอยู่ในชั้นศาลปกครอง ตามที่ตนได้พยายามยื่นร้องคัดค้านไปตามสิทธิทางกฎหมาย

กรณีคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำอำเภอ (คชก.) ที่มีการพิจารณารับรองสิทธิจากการเช่าที่ดินที่ตนได้ปฏิบัติมาอย่างถูกต้อง และจ่ายค่าเช่ามาโดยตลอดทุกปีอย่างไม่เป็นธรรม จนไม่ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมทำนาดังกล่าว

นายพงศธรระบุ พร้อมอยากฝากบอกเตือนถึงเพื่อนชาวนาด้วยกันไว้ด้วยว่า หากมีนายทุนเข้ามาซื้อที่ดินที่กำลังเช่าทำนาอยู่นั้น ขอให้ระมัดระวัง และขอให้ดูกรณีที่เกิดขึ้นกับตนไว้เป็นตัวอย่างที่อาจจะทำให้เราหมดตัว กลายเป็นคนล้มละลายได้




(https://www.matichon.co.th/region/news_4376922)