Puangthong Pawakapan
1d·
เพิ่งเห็นอันนี้ มีทั้งคลิปและบทสรุป แต่บทสรุปไม่ได้ใส่ช่วงที่ อ.ธงชัยพูดถึงปัญญาชน นักวิชาการ คนรุ่นใหม่ที่เคยต่อสู้กับระบอบอำนาจนิยม แต่ตอนนี้กลับเดินหน้าแบกเพื่อไทย ละทิ้งประเด็นต่อสู้ทางการเมืองที่เคยเชื่อมา
ตอนนึงอ.ธงชัยบอกว่า ผมไม่เชื่อที่บอกว่าคนตาสว่างแล้ว จะกลับไปมัว มืด หรือบอดอีกไม่ได้ ก็ให้ดูคนที่ผ่านเดือนตุลามาสิ 555
แกเห็นว่ามีเหตุผลสารพัดที่คนยังแบกเพื่อไทยต่อ ทั้งเรื่องบุญคุณ ทั้งไม่สามารถยอมรับว่าตนผิด เขาต้องปกป้อง self-esteem หรือความเชื่อมั่นของตัวเอง มันเป็นเสมือนปกป้อง integrity ของตัวเอง แต่กลับไม่เห็นว่าการแบกอย่างไร้เหตุผลนั่นเองที่ทำลาย integrity ของตัวเอง สูญเสียความเคารพที่คนอื่นมีให้คุณไปเรียบร้อยแล้ว
อ.ธงชัยบอกว่าเพื่อนฝูงและนักวิชาการจำนวนหนึ่งที่เข้าไปสนับสนุนเพื่อไทยพูดกับแกเหมือนที่ภูมิธรรมเคยพูดกับแกเมื่อปี 2000 ต้นๆ ว่า "ไอ้ธง มึงไม่รู้จักความเป็นจริง" ผมได้แต่ตอบเขาในใจเงียบๆ ว่าผมไม่รู้ความเป็นจริงอ่ะ ดีแล้ว
"มีนักวิชาการรุ่นหลังมาคุยกับผมเร็วๆ นี้ว่า "เขาตื่นเต้นกับรายละเอียดเยอะแยะจากการที่เขาได้รู้จัก ได้ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย ความเป็นจริงมันไม่เหมือนกับที่เราพูดในโลกวิชาการ ซึ่งผมไม่เห็นด้วย"
"โลกวิชาการเราอาจจะโง่ เราอาจไม่รู้ความเป็นจริงหลายอย่าง แต่เราควรจะมองข้าม มองให้ลึก มองให้ไกลกว่าข้อเท็จจริงเหล่านั้น"
เอาเข้าจริงคนเหล่านั้นไม่ได้เอ็นจอยข้อเท็จจริงเหล่านั้นที่ตัวเองรู้เพิ่มหรอก แต่เขาเอ็นจอยอำนาจ เอ็นจอยการได้ใกล้ชิดอำนาจ"
(ดูนาทีที่ 16 เป็นต้นไป)
ประเด็นอื่นๆ จากรายงานข่าว
“พวกเราไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรือว่าคุณทักษิณไม่ควรต้องได้รับการรักษาพยาบาล แต่เห็นว่าผู้ต้องขังรายอื่น ๆ ควรได้สิทธิการดูแลในทำนองเดียวกัน” ศ.ดร.ธงชัยกล่าว
ผู้สนับสนุนเพื่อไทย-ทักษิณ: เลี่ยงประเด็นไปว่าทักษิณไม่ควรต้องติดคุกด้วยซ้ำ “โดยส่วนตัว ผมเห็นด้วย ถูกต้อง แต่มันเป็นคนละประเด็นกับว่าเขายอมรับโทษจำคุกก็ต่อเมื่อได้รับอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนปกติ”
รัฐบาล: ตอบแบบปราศจากความละอาย โดยบอกว่าทำตามกฎหมาย ซึ่งเป็นคาถาเพื่อตัดบท รัฐบาลรู้ว่าคนไม่ฟัง ไม่เชื่อ และไม่หวังว่าคนจะเชื่อ แต่คงไม่มีทางอื่น เพราะมันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ประโยชน์ที่พรรค พท. ได้คืออำนาจรัฐบาล ยุทธศาสตร์ในการเป็นรัฐบาล-รักษาอำนาจคือทำอะไรก็ตามที่ไม่กระทบกระเทือนรัฐอภิสิทธิ์
“สิ่งที่ชนชั้นนำเข้าใจผิดก็คือ มองถึงความพยายามเปลี่ยนแปลงที่ไทยรักไทยทำเลยเถิดไปว่าเป็นศัตรูของระบบรัฐอภิสิทธิ์” และ “รัฐไทยต้องการรักษาอย่างเดิมไว้ เปลี่ยนน้อยมาก กระทั่งความเปลี่ยนแปลงในระดับที่ไทยรักไทยพยายามทำ เขายังรับไม่ได้” ศ.ดร.ธงชัย ระบุ
สิ่งที่เพื่อไทย-รัฐบาล-ผู้สนับสนุนทำเหมือนกันคือ “จบแล้ว จับมือกัน เกี้ยเซียะกัน แล้วก็ทำเป็นลืม ทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น” แต่ ศ.ดร.ธงชัย เชื่อว่าประวัติศาสตร์ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่ได้ถูกลบ-ไม่หายไปไหน-ไม่เกิดภาวะเงียบสนิท
“ต่อไปเมื่อทุกอย่างลงตัวมากกว่านี้ ผมเชื่อว่าประวัติศาสตร์จะบันทึกว่านี่เป็นตลกฝืดตลกเฝื่อนที่เกิดจาก compromise (การประนีประนอม) ระหว่างพลังการเมืองสองพลังใหญ่ ๆ คือ เครือข่ายอุปถัมภ์ที่ค้ำจุนรัฐอภิสิทธิ์อยู่ กับเครือข่ายระบบอุปถัมภ์นอกศูนย์กลางในจังหวัดต่าง ๆ... และทำให้ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2549 จบลงเฉย ๆ”
ม. 112 ไม่ใช่แค่เพดาน แต่กลายเป็นปัญหาแนวหน้าสุด เป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิดในสังคมไทยที่ประจันกันอยู่ ทำให้กรณี 112 ไม่ใช่กรณีทางกฎหมาย แต่เป็นกรณีทางการเมืองว่าจะล้มล้าง-ไม่ล้มล้าง ซึ่งเป็นเรื่องการเมือง 100%
เช่นเดียวกับกรณีคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่มี แพทองธาร ชินวัตร เป็นประธาน ให้แก้ไขกฎกระทรวงเรื่องการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ที่ห้ามฉายในไทย โดยเหลือเพียงข้อกำหนดเดียวคือ เนื้อหาที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนประเด็นอื่น ๆ ทั้งเรื่องศาสนา ความสามัคคี รวมถึงเพศสัมพันธ์ จะถูกจัดในเรตผู้ชมที่เหมาะสมแทนการห้ามฉาย
(https://www.bbc.com/thai/articles/cd1k17nmkv1o...)