วันอังคาร, มกราคม 23, 2567

จุดยืนพรรคก้าวไกล ต่อข้อเสนอจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “สูตรชูศักดิ์” (ประชามติ 2 ครั้ง) และ “สูตรภูมิธรรม” (ประชามติ 3 ครั้ง)


พริษฐ์ วัชรสินธุ - ไอติม - Parit Wacharasindhu
7h ·

[ จุดยืนต่อข้อเสนอจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ “สูตรชูศักดิ์” (ประชามติ 2 ครั้ง) และ “สูตรภูมิธรรม” (ประชามติ 3 ครั้ง) ]
.
วันนี้ ทาง สส. พรรคเพื่อไทย 120+ คน ได้ร่วมกันยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับ มาตรา 256 และ สสร. ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของความพยายามในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยกระบวนการ “ประชามติ 2 ครั้ง” ( https://www.facebook.com/pheuthaiparty/posts/pfbid028FrskR8G5LKs17ynLgWHRL2gMNnsS4mucYvRDYkYTnaUoQG5zSnseHhHYmaMNyUUl )
.
ทั้งหมดนี้ เลยทำให้ตอนนี้ ตัวแทนของรัฐบาลมีการเสนอ 2 แนวทางในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ
.
1. “สูตรภูมิธรรม” (ข้อเสนอของคณะกรรมการฯที่รัฐบาลแต่งตั้งและมีรองนายกฯภูมิธรรมเป็นประธาน) = ประชามติ 3 ครั้ง
.
2. “สูตรชูศักดิ์” (ข้อเสนอของ สส. พรรคเพื่อไทย 120+ คน ที่ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันนี้) = ประชามติ 2 ครั้ง
.
ผมขอสรุปจุดยืนผมต่อความคืบหน้าดังกล่าว แยกเป็น 3 ประเด็น
.
.
[ I. จุดยืนต่อจำนวนประชามติ: ประชามติ 2 หรือ 3 ครั้ง ]
.
เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ ขออนุญาตนิยามประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นที่พูดถึงกันอยู่ดังต่อไปนี้:
.
ประชามติ A = ประชามติก่อนจะมีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆ (เรื่อง ม.256 และ สสร.) เข้าสู่รัฐสภา
ประชามติ B = ประชามติหลังจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (เรื่อง ม.256 และ สสร.) ผ่านความเห็นชอบ 3 วาระของรัฐสภา และก่อนจะมี สสร. มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ประชามติ C = ประชามติหลังจาก สสร. ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว เพื่อให้ประชาชนได้พิจารณาเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
.
ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการจัดประชามติ B และ ประชามติ C เป็นสิ่งที่ต้องทำ หากจะเดินตามกติกาของรัฐธรรมนูญ 2560 และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564
.
แต่สิ่งที่แต่ละฝ่ายเห็นต่างกันคือ ประชามติ A จำเป็นต้องทำหรือไม่?
.
ต้นตอของความเห็นต่าง มาจากความแตกต่างในการตีความคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 ที่ระบุไว้ว่า หากจะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติ “เสียก่อน” ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่
.
ฝ่ายที่ตีความว่า “เสียก่อน” ในที่นี้ หมายถึงการจัดประชามติก่อนจะมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงมองว่าประชามติ B ก็เข้าเงื่อนไขดังกล่าว ดังนั้น การจัดประชามติแค่ 2 ครั้ง (B และ C) ก็เพียงพอ
.
แต่ฝ่ายที่ตีความว่า “เสียก่อน” ในทีนี้ หมายถึงการจัดประชามติก่อนจะมีการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (เรื่อง ม.256 และ สสร.) เข้าสู่รัฐสภา จึงมองว่าจำเป็นต้องเพิ่มประชามติ A เข้ามาตอนเริ่มต้น รวมกันเป็นประชามติ 3 ครั้ง (A และ B และ C)
.
สำหรับจุดยืนผมและพรรคก้าวไกล ( รายละเอียดที่เคยแถลงเมื่อ 10 ธ.ค. 2566) https://www.facebook.com/paritw/posts/pfbid02L2XrE4LMURTLwSewA2eo4SgUaCWSAGK35gAogqH5iY5GTHAdwf9mgLwNJEhsLB3Dl ):
.
- ในมุมกฎหมาย เรายืนยันมาตลอดว่าประชามติ A ไม่มีความจำเป็น และหากยึดตามรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ 2 ครั้ง (B และ C) ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
.
- แต่ในมุมการเมือง พรรคก้าวไกลเห็นว่าการจัดทำประชามติ A นั้นอาจมีประโยชน์ในการทำให้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สำเร็จ เพราะหากไม่ทำประชามติ A เสียก่อน ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (เรื่อง ม.256 และ สสร.) อาจไม่ได้รับความเห็นชอบเพียงพอจากสมาชิกรัฐสภาบางส่วน (โดยเฉพาะ สว.) ที่มองว่าต้องทำประชามติ A (เหมือนกับที่เกิดขึ้นในการลงมติในวาระที่ 3 เมื่อตอน มี.ค. 2564) / แต่หากทำประชามติ A ไปและประชาชนเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สมาชิกรัฐสภาส่วนนี้ก็จะไม่มีเหตุผลที่จะขัดขวางอีกต่อไป
.
ดังนั้น หากจะเดินหน้าด้วยการทำประชามติ 2 ครั้ง โดยไม่ทำประชามติ A ทางพรรคก้าวไกลและรัฐบาลก็จำเป็นต้องร่วมมือกันหาแนวทางในการโน้มน้าวให้ สว. โหวตเห็นชอบกับแนวทางดังกล่าว เพราะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (เรื่อง ม.256 และ สสร.) จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไม่ได้ หากไม่ได้รับเสียงเห็นชอบถึง 1 ใน 3 ของวุฒิสภา
.
โดยสรุป ไม่ว่าในที่สุด รัฐบาลจะเลือกเดินยุทธศาสตร์ตาม “สูตรชูศักดิ์” (ประชามติ 2 ครั้ง) หรือ “สูตรภูมิธรรม” (ประชามติ 3 ครั้ง) ทางพรรคก้าวไกลเราพร้อมจะเดินหน้าผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยจุดยืนที่เหมือนและแตกต่างจากรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยดังต่อไปนี้
.
.
[ II. จุดยืนพริษฐ์ ต่อ “สูตรชูศักดิ์” (ประชามติ 2 ครั้ง) และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทย ]
.
ขั้นตอนแรกของการเลือกกระบวนการ “ประชามติ 2 ครั้ง” คือการยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (เรื่อง ม.256 และ สสร.) เข้าสู่รัฐสภา - เมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยยื่นเข้าสู่รัฐสภาในวันนี้ ผมมีความเห็นเบื้องต้นดังต่อไปนี้:
.
1. “เห็นด้วย” กับ สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง 100%
- ผมเห็นด้วยกับร่างของเพื่อไทยที่ยืนยันหลักการว่า สสร. มาจากการเลือกตั้ง 100% (ร่างของเพื่อไทยเสนอ สสร. 200 คน ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด) ซึ่งเป็นหลักการที่ผมและพรรคก้าวไกลยึดถือมาโดยตลอด
.
2. “เห็นด้วย” กับการกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้สมัคร สสร. ไว้ที่ 18 ปี
- ผมเห็นว่าตามหลักประชาธิปไตยสากล อายุขั้นต่ำสำหรับการลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองใดๆก็ตาม มักยึดตามอายุขั้นต่ำในการมีสิทธิเลือกตั้ง (“ถ้าโตพอจะโหวตได้ ก็โตพอจะลงสมัครได้”) และผมหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะเห็นด้วยเช่นกันกับการลดอายุขั้นต่ำของผู้สมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งอื่นๆ (เช่น สส. สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น) หากพรรคก้าวไกลมีการเสนอแก้ไขประเด็นดังกล่าวในอนาคต
.
3. “ค่อนข้างไม่เห็นด้วย” กับ ระบบเลือกตั้ง สสร. ในร่างของพรรคเพื่อไทย
- ผมเห็นว่าประเด็นเรื่องระบบเลือกตั้ง เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันเพิ่มเติมได้ แต่ผมเห็นว่าเราสามารถออกแบบระบบเลือกตั้งให้นำไปสู่ตัวแทนที่มีความหลากหลายเชิงประเด็นและเชิงกลุ่มสังคมมากกว่าระบบเลือกตั้งตามข้อเสนอของเพื่อไทยได้ (ร่างของเพื่อไทยเสนอให้เลือกตั้งทั้ง 200 คน โดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถกากบาทผู้สมัครได้แค่ 1 คน (แบบ Single Non-Transferable Vote - SNTV)) - ในเร็วๆนี้ รายงานของ กมธ. พัฒนาการเมืองฯ เกี่ยวกับทางเลือกต่างๆที่เป็นไปได้เรื่องระบบเลือกตั้ง และข้อดี-ข้อเสียของแต่ละทางเลือกจะถูกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาฯ ซึ่งน่าจะทำให้ประชาชนได้เห็นหลายทางเลือกมากขึ้น ( https://www.facebook.com/paritw/posts/pfbid02mMQgPBABtAtCUg1kRErdRU51p48HNXLKwoU8KnFtcWUQWgzeanqaihJRWRq5hTgDl )
.
4. “ไม่เห็นด้วย” กับการต้องให้รัฐสภาเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนส่งไปประชามติ
- ผมเห็นว่าการกำหนดให้รัฐสภาต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ถูกยกร่าง โดย สสร. ก่อนจะส่งไปทำการออกเสียงประชามติ (แม้ร่างของเพื่อไทยจะให้ สสร. มีอำนาจยืนยันร่างเดิม แต่ก็ต้องใช้เสียงสูงถึง 2 ใน 3) ถูกตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตยได้ ในกรณีที่รัฐสภาเห็นต่างจาก สสร. และใช้อำนาจแก้ไขร่างของ สสร. เนื่องจาก สสร. มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง ในขณะที่บางส่วนของรัฐสภาประกอบไปด้วยวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (แม้จะผ่านบทเฉพาะกาลไป วุฒิสภาก็ยังไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการเลือกกันเองระหว่างผู้สมัคร)
.
5. “ไม่เห็นด้วย” กับการล็อกไม่ให้ สสร. มีอำนาจพิจารณา หมวด 1-2
- ผมและพรรคก้าวไกลเห็นว่า สสร. ควรมีอำนาจพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทุกหมวด โดยเรายืนยันว่าการให้ สสร. มีอำนาจพิจารณาเนื้อหาในหมวด 1-2 จะไม่กระทบรูปแบบการปกครองหรือรูปแบบรัฐตามที่บางฝ่ายกังวล เนื่องจากมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้ชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆจะต้องไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหรือรูปแบบรัฐ รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ผ่านมา (2540 2550 2560) ก็มีการปรับปรุงเนื้อหาในหมวด 1-2 มาโดยตลอด
.
แนวทางการผลักดันของพรรคก้าวไกล (หากรัฐบาลเลือก “สูตรชูศักดิ์” (ประชามติ 2 ครั้ง)): เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ (เรื่อง ม.256 และ สสร.) ฉบับก้าวไกล เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อร่วมผลักดันในจุดยืนที่เห็นตรงกัน และถกเถียง-อภิปราย-หาข้อสรุปในจุดยืนที่ต่างกัน
.
.
[ III. จุดยืนพริษฐ์ ต่อ “สูตรภูมิธรรม” (ประชามติ 3 ครั้ง) และคำถามประชามติที่คณะกรรมการฯ เสนอ ]
.
ขั้นตอนแรกของการเลือกกระบวนการ “ประชามติ 3 ครั้ง” คือการจัดประชามติ A - เมื่อพิจารณาคำถามประชามติที่คณะกรรมการฯ เสนอสำหรับประชามติ A (“ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”) ผมและพรรคมีจุดยืนดังต่อไปนี้:
.
1. “ไม่เห็นด้วย” กับคำถามประชามติ
.
ในส่วนของผมและพรรคก้าวไกล พวกเราไม่เห็นด้วยกับการตั้งคำถามที่ “ยัดไส้” เงื่อนไขในลักษณะนี้ เพราะเป็นการถามคำถามที่ทำให้ประชาชนที่เห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม แต่ไม่เห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม (เช่น เห็นด้วยการการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ไม่เห็นด้วยกับการล็อกไม่ให้แก้หมวด 1-2) มีความลำบากใจในการตัดสินใจว่าจะลงคะแนนอย่างไร ซึ่งเสี่ยงจะทำให้ฝ่ายที่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ลงคะแนนอย่างไม่เป็นเอกภาพ และทำให้รัฐบาลมีแนวร่วมน้อยลงโดยไม่จำเป็นในการรณรงค์ให้ประชาชนลงมติเห็นชอบ ซึ่งส่งผลต่อโอกาสที่ประชามติจะผ่านความเห็นชอบของประชาชนได้อย่างสำเร็จ ( ความเห็นเต็ม: https://www.facebook.com/paritw/posts/pfbid0cD5on4sFxGnSpp8aN4hEeeLmLXktKwZQ4bcefgTqmxbr76B4gw1pF8WwXxDVdowxl )
.
แนวทางการผลักดันของพรรคก้าวไกล (หากรัฐบาลเลือก “สูตรภูมิธรรม” (ประชามติ 3 ครั้ง)): เสนอให้ ครม. ทบทวนคำถามประชามติ ให้เป็นคำถามที่เปิดกว้าง (เช่น “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”) ผ่านการเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาร่วมหาทางออกผ่านกลไกของคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ( https://www.facebook.com/paritw/posts/pfbid0SLH6i1qk1mXdNCGnXggwda8fNcK5GAi6D9WnjJSanZC2Vak3JwYs2kHdbQzFXBDZl )

(https://www.facebook.com/photo/?fbid=915067729988013&set=a.477705887057535)