กรณีครูใช้เข็มกลัดจิ้มปากเด็กทั้งชั้น เพื่อทำโทษที่ไม่มีใครยอมรับว่าทิ้งเศษหมากฝรั่งติดพื้นห้องเรียน สะท้อนความคิดอย่างอำนาจนิยมในสังคม ไม่เฉพาะในทางการเมือง แต่เป็นไปทั่วในระบบการศึกษา และชีวิตความเป็นอยู่ธรรมดาทั่วไปด้วย
เหตุเกิดขึ้นที่โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านสำโรง ซึ่งนักเรียนชั้น ป.๒ ถูกครูทำโทษ เอาเข็มกลัดจิ้มปากหมดทั้ง ๓๖ คน บางคนมีรอยแผลปรากฏให้เห็น แม้ว่า “ตอนจิ้มนั้นไม่มีเด็กร้องไห้เลย” ตามข้ออ้างของครูตัวการหนึ่งในสองคน ก็ใช่ว่าจะกระทำเช่นนั้นได้
อีกทั้งเข้าข่ายจงใจทำร้ายเด็กอย่างโหดร้าย ไม่มีความเหมาะสมเลยแม้แต่น้อย จากการที่ครูเดินเหยียบเศษหมากฝั่งที่ถูกคายไว้บนพื้นห้อง ครั้นคาดคั้นแล้วยังไม่มีใครยอมรับ ก็ใช่ว่าจะขู่ด้วยการทำให้บาดเจ็บได้ แล้วยังมีหน้าอ้างอย่างบัดซบด้วยว่า
“ไม่คิดว่าการที่ทำแบบนี้ จะทำให้เขาเกิดบาดแผล” ครูที่กระทำผิดให้การต่อตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ พร้อมร่ำไห้ว่า “ที่ครูทำไปไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” แต่เข้าข่ายมีเจตนาแน่ๆ เพียงแต่ไม่คิดว่าการทำให้เด็กเจ็บ เป็นการจงใจทำร้ายร่างกาย
ยิ่ง ‘ครูปุ๊ก’ หนึ่งในผู้ต้องหาบอกว่า “ที่ทำไปเพราะอยากให้เขาเป็นคนดี กล้าทำกล้ารับผิดชอบ” ยิ่งเป็นการปฏิเสธความผิดด้วยข้ออ้างอันแสนทุเรศ เพราะการทำร้ายร่างกายกับความหวังดี สอนเด็กให้กล้ารับผิดชอบนั้นมันเทียบเคียงกันไม่ได้เลย
มันเป็นอุทธาหรณ์ถึงการเชิดชูจริยธรรมสูงส่งในสังคมไทย ว่าการเป็น ‘คนดี’ และการเสี้ยมสอนให้เด็กเป็นคนดีด้วยวิธีการใช้อำนาจบาตรใหญ่ มิรังแต่จะทำให้ประชากรของชาติหันกลับไปซึมซับกับสันชาติญานกัดเถือเนื้อหนังดังเหล่าเดรฉาน
(https://prachatai.com/journal/2024/01/107791 และ https://www.matichon.co.th/education/news_4396030)