วันศุกร์, กันยายน 15, 2566

เอาคนอ่อนแอ มาคุมทหาร จะไหวเหรอ ? ทหารของเผด็จการเมียนมารุกล้ำเข้าชายแดนไทยกว่า 100 คน ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เหตุถอยร่นจากการโจมตีโดยกลุ่ม KNU เบื้องต้นทหารไทยนิ่งเฉยจนกระทั่งเป็นข่าว สส. กัณวีร์ โพสต์ประท้วง





เข้าใจว่า รบกันก็หนีเข้ามาในไทย แต่!! ใส่เครื่องแบบติดอาวุธครบมือจำนวนหลักร้อยคน เหยียบบนแผ่นดินไทยและพักอยู่ 2 คืน ในพื้นที่ที่มีประชาชนไทยอยู่และสร้างความหวาดกลัวให้กับพี่น้องชาวไทยในพื้นที่ โดยที่ไม่มีการปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติประจำ (รปจ.) ทางการทหาร คือ “การปลดอาวุธ” (ต่อ)

ผมว่าคนไทยทุกคนเข้าใจบริบทความละเอียดอ่อนบริเวณพื้นที่ชายแดน ที่หน่วยงานทางราชการทุกส่วนต้องมีความอ่อนตัว โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์กับหน่วยราชการของประเทศเพื่อนบ้าน แต่การที่เรายอมให้มาละเมิดเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนไม่ได้ (ต่อ)

ไม่ว่าจะมีเจตนาอะไรอย่างไร เจตนาดีหรือไม่ แต่เป็นทหารที่มีอาวุธครบมือ ของประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่สามารถมาเหยียบผืนแผ่นดินไทยได้ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยมีอาวุธติดมาครบมือ ต้องปลดอาวุธทั้งหมด และอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารไทย ตาม รปจ.ทางทหารเท่านั้น ไม่มีข้อยกเว้น !! (ต่อ)

“เราประท้วงไปแล้วนะ ในช่องทางที่เราประท้วงได้ ตามแนวชายแดน” คำพูดของ รมว.กห.ไทย มันได้มั้ยครับ ที่อธิปไตยเหนือดินแดนไทยถูกรุกล้ำ แล้วเราแค่ประท้วง!! หากบอกว่าลี้ภัยเข้ามา ต้องไม่มีอาวุธ และต้องหนีความตายจากประเทศต้นกำเนิด และต้องตกอยู่ในคำนิยามของผู้ลี้ภัยเท่านั้น (ต่อ)

มิใช่เดินทางเข้ามาในประเทศอื่นโดยยังคงใส่เครื่องแบบและติดอาวุธครบมือ เพื่อมาหาเสบียงและเพื่อใช้ประเทศอื่นเป็นทางผ่านเพื่อเข้าไปยังฐานปฏิบัติการทางทหารของตน เพื่อไปทำการริดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานของการเป็นมนุษย์ โดยการฆ่าฟันพลเมืองผู้บริสุทธิ์ในประเทศตนอีก (ต่อ)

นี่เท่ากับไทยให้ความช่วยเหลือการปฏิบัติการทางทหารของเมียนมาเพื่อให้ทหารมีกำลังไปเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ของตนเอง ตามที่สถานการณ์ในเมียนมาเป็นอยู่ (ต่อ)

“อย่าไปเข้าร่วมเลยครับกับทหารพม่าที่กำลังใช้การปฏิบัติการทางทหารเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ครับ ผมขอร้อง อธิปไตยเหนือดินแดนไทยต้องไม่ถูกรุกล้ำและด้อยค่า เพียงแค่ความสัมพันธ์ทางทหารในพื้นที่” (จบ)