วันอังคาร, ธันวาคม 31, 2562

ชักจะชัดขึ้นทุกที "ว่าราชอาณาจักรไทยก็คือ ‘ลูกไล่’ ของจีน ดีๆ นี่เอง"


ดูจะเป็นฉันทามติแล้วว่าเศรษฐกิจปีหน้าอับเฉาแน่ๆ แม้แต่ ปชป.ที่ไม่ใช่ลิ่วล้อโดยตรงของ คสช. ก็ยอมรับ การส่งออกติดลบกว่า ๗% และการนำเข้าก็ลดลงกว่า ๙% “ซึ่งเป็นสัญญานไม่ดี” ที่ กรณ์ จาติกวนิช โพสต์ความเห็น

“เราโทษเรื่องเศรษฐกิจโลก/สงครามการค้า ฯลฯ ได้ แต่เราต้องยอมรับว่าปัญหาทั้งหมดไม่เป็นเพียงเพราะเงื่อนไขจากภายนอก ถ้าเป็นเช่นนั้นประเทศอื่นก็ควรมีปัญหาเหมือนเรา แต่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเราช้ากว่าเกือบทุกประเทศเพื่อนบ้าน”

ถึงแม้อดีตรัฐมนตรีคลังของพรรคประชาธิปัตย์ผู้นี้ จะ เอาใจช่วยรัฐบาลเต็มที่ แต่อดไม่ได้ที่จะชี้ข้อเท็จจริง เช่นว่า “การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะยานยนต์ลดลงกว่า ๒๑% เทียบกับปีที่แล้ว” เขาเน้น

“การใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเราลดลงเหลือเพียง ๖๓.% ซึ่งตํ่ามาก และการบริโภคภายในประเทศก็ลดลง” ทั้งนี้มีผลต่อเนื่องกับการที่ค่าเงินบาทไทยแข็งเกินไป แก้ไม่หาย (หรือใครจะบอกว่าหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไม่มีปัญญาแก้ ก็ได้)

วานนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อ ๑ ดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ ๒๙.๙๒ บาท ต่ำกว่าเกณฑ์ ๓๐ บาทที่ว่าสูงสุดแล้วไม่แข็งกว่านั้น กรณ์บอกมีสอง แน่นอน เมื่อขึ้นปีหน้า คือเศรษฐกิจ “ท้าทายแน่นอน” กับเงินบาทแข็งแสดงว่าเศรษฐกิจดี “ไม่ใช่แน่นอน”

กานดา นาคน้อย นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด คอนเน็คติกัต (สหรัฐ) ให้ความเห็นความน่าจะเป็นที่ทำให้ บาทแข็ง ว่า “ดอกเบี้ยพันธบัตร รบ.ไทย ๑๐ ปีที่ผ่านมา ๗ ปีแรกสูงกว่าของสิงคโปร์และสหรัฐฯ ชัดเจน ทำให้เงินทุนนอกไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ (แต่ไหลออกจากตลาดทุนตรง)...

แต่ ๓ ปีหลังดอกเบี้ยไม่ต่างกันมาก จะว่าบาทแข็งเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยก็ไม่น่าใช่ ใครตั้งใจซื้อเงินบาทหนักให้บาทแข็ง” เป็นข้อสังเกตุที่เธอถามว่า “เป็นไปได้ไหมว่าทุนจีนไหลเข้ามาซื้อเงินบาท เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทย” (@kandainthai)

เธอตอบว่า “เป็นไปได้” ดังที่พบว่าในช่วงสี่ปีหลังของรัฐบาล คสช.๑ ทุนจีนทะลักเข้าไทยเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ประเภทห้องชุด และคอนโดมิเนี่ยมกันฟ่อง แม้นว่าตั้งแต่ไตรมาส ๓ ของปี ๒๕๖๑ จะเริ่มอ่อนแรง

“ช่วง ๕ เดือนแรก ๒๕๖๒ มูลค่าเงินโอนเพื่อซื้อคอนโดฯ ของต่างชาติปรับลดลง ตลาดจีนและฮ่องกงติดลบ -๒๑%...มูลค่าเงินโอน ๒.๗ หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีเงินโอน ๓.๕ หมื่นล้านบาท” ประชาชาติธุรกิจรายงาน

รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เผยว่า “การโอนห้องชุดของลูกค้าต่างชาติ ๙ เดือนแรก ๒๕๖๒ ยูนิตเพิ่ม ๑.% จำนวน ๙,๔๒๗ ยูนิต แต่มูลค่าติดลบ -๕.%...ลูกค้าจีนโอนมากสุดสัดส่วน ๕๗-๕๘% ของตลาดลูกค้าต่างชาติในภาพรวม”

ทว่า ก้าวเข้าสู่ปี ๒๕๖๓ “เทรนด์ใหม่ลูกค้าจีนช็อปอสังหาฯ ไทย ดอดซื้อสิทธิการเช่าบ้านตากอากาศยกโครงการ ๑,๐๐๐ หลัง เฉียด ๕,๐๐๐ ล้าน” บาท “พบว่าหัวหิน-ชะอำเป็นทำเลใหม่ที่ค่อนข้างร้อนแรง...ที่มีการขายแบบสิทธิการเช่าระยะยาวให้กับกลุ่มจีนโดยเฉพาะ”

รายงานของประชาชาติฯ ระบุด้วยว่า “ลูกค้าจีนหันมาสนใจซื้อบ้านแนวราบมากขึ้น” แม้จะไม่ได้กรรมสิทธิ์เหมือนกับซื้อคอนโดฯ (กรรมสิทธิ์ ๔๙%) แต่ก็ได้สิทธิ์การเช่าในระยะยาวถึง ๓๐ ปี ตามที่กฎหมายไทยอำนวย
 
โครงการต่างๆ เช่น ChinaTown Huahin บุญธานี ๓๖ Guo Tai Group Huahin 50 และหัวไท่ ที่ “ทุกโครงการมียอดขายลูกค้าจีนแล้วเกิน ๕๐%” เหล่านี้ผ่านช่องทางหลักคือ “ซื้อขายผ่านเอเย่นต์จีน เพราะคนจีนให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากกว่าซื้อกับคนไทย”

ซึ่งน่าจะเป็นข้ออ้างขอไปทีมากกว่า ในเมื่อแบบแผนการเข้าจับจ่ายใช้สอยในไทยของคนจีนแผ่นดินใหญ่ จะใช้บริการของทุนจีนเอง ที่พัก ร้านอาหาร ร้านของฝาก และ “เครือข่ายเอเย่นต์จีน” โดยเฉพาะ “โบรกเกอร์จีนรายใหญ่ในเมืองไทย”

ได้แก่ แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ Golden Emperor Thailand หรือ Sellorate แพลตฟอร์มชื่อดัง และ Juwai.com เว็บไซต์อันดับหนึ่ง ซึ่ง “เข้าถึงผู้บริโภค ๓.๑ ล้านคน/เดือน”


นักท่องเที่ยว การลงทุน และธุรกิจ จากจีนที่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คสช.คุยนักคุยหนา พร้อมทั้งภาวนาว่าจะเป็นกระจกวิเศษบอกความมั่งคั่งยั่งยืน (ของใครไม่รู้) ในการครองอำนาจอีก ๒๐ ปี แสดงให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นแล้ว

ว่าราชอาณาจักรไทยก็คือ ลูกไล่ ของจีน ดีๆ นี่เอง