ดูจะเป็นฉันทามติแล้วว่าเศรษฐกิจปีหน้าอับเฉาแน่ๆ
แม้แต่ ปชป.ที่ไม่ใช่ลิ่วล้อโดยตรงของ คสช. ก็ยอมรับ การส่งออกติดลบกว่า ๗% และการนำเข้าก็ลดลงกว่า ๙% “ซึ่งเป็นสัญญานไม่ดี” ที่
กรณ์ จาติกวนิช โพสต์ความเห็น
“เราโทษเรื่องเศรษฐกิจโลก/สงครามการค้า ฯลฯ
ได้ แต่เราต้องยอมรับว่าปัญหาทั้งหมดไม่เป็นเพียงเพราะเงื่อนไขจากภายนอก
ถ้าเป็นเช่นนั้นประเทศอื่นก็ควรมีปัญหาเหมือนเรา แต่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเราช้ากว่าเกือบทุกประเทศเพื่อนบ้าน”
ถึงแม้อดีตรัฐมนตรีคลังของพรรคประชาธิปัตย์ผู้นี้
จะ ‘เอาใจช่วยรัฐบาล’ เต็มที่
แต่อดไม่ได้ที่จะชี้ข้อเท็จจริง เช่นว่า “การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงอย่างมาก
โดยเฉพาะยานยนต์ลดลงกว่า ๒๑% เทียบกับปีที่แล้ว” เขาเน้น
“การใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเราลดลงเหลือเพียง
๖๓.๒% ซึ่งตํ่ามาก
และการบริโภคภายในประเทศก็ลดลง” ทั้งนี้มีผลต่อเนื่องกับการที่ค่าเงินบาทไทยแข็งเกินไป
แก้ไม่หาย (หรือใครจะบอกว่าหัวหน้าทีมเศรษฐกิจไม่มีปัญญาแก้ ก็ได้)
วานนี้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อ ๑
ดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ ๒๙.๙๒ บาท ต่ำกว่าเกณฑ์ ๓๐ บาทที่ว่าสูงสุดแล้วไม่แข็งกว่านั้น
กรณ์บอกมีสอง ‘แน่นอน’
เมื่อขึ้นปีหน้า คือเศรษฐกิจ “ท้าทายแน่นอน” กับเงินบาทแข็งแสดงว่าเศรษฐกิจดี “ไม่ใช่แน่นอน”
กานดา นาคน้อย
นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด คอนเน็คติกัต (สหรัฐ) ให้ความเห็นความน่าจะเป็นที่ทำให้
‘บาทแข็ง’ ว่า “ดอกเบี้ยพันธบัตร
รบ.ไทย ๑๐ ปีที่ผ่านมา ๗ ปีแรกสูงกว่าของสิงคโปร์และสหรัฐฯ ชัดเจน
ทำให้เงินทุนนอกไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ (แต่ไหลออกจากตลาดทุนตรง)...
แต่ ๓ ปีหลังดอกเบี้ยไม่ต่างกันมาก
จะว่าบาทแข็งเพราะส่วนต่างดอกเบี้ยก็ไม่น่าใช่ ใครตั้งใจซื้อเงินบาทหนักให้บาทแข็ง”
เป็นข้อสังเกตุที่เธอถามว่า “เป็นไปได้ไหมว่าทุนจีนไหลเข้ามาซื้อเงินบาท เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทย”
(@kandainthai)
เธอตอบว่า “เป็นไปได้”
ดังที่พบว่าในช่วงสี่ปีหลังของรัฐบาล คสช.๑ ทุนจีนทะลักเข้าไทยเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์
ประเภทห้องชุด และคอนโดมิเนี่ยมกันฟ่อง แม้นว่าตั้งแต่ไตรมาส ๓ ของปี ๒๕๖๑
จะเริ่มอ่อนแรง
“ช่วง ๕ เดือนแรก ๒๕๖๒ มูลค่าเงินโอนเพื่อซื้อคอนโดฯ
ของต่างชาติปรับลดลง ตลาดจีนและฮ่องกงติดลบ -๒๑%...มูลค่าเงินโอน
๒.๗ หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีเงินโอน ๓.๕ หมื่นล้านบาท” ประชาชาติธุรกิจรายงาน
รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์เผยว่า
“การโอนห้องชุดของลูกค้าต่างชาติ ๙ เดือนแรก ๒๕๖๒ ยูนิตเพิ่ม ๑.๘% จำนวน ๙,๔๒๗ ยูนิต
แต่มูลค่าติดลบ -๕.๘%...ลูกค้าจีนโอนมากสุดสัดส่วน
๕๗-๕๘% ของตลาดลูกค้าต่างชาติในภาพรวม”
ทว่า ก้าวเข้าสู่ปี ๒๕๖๓ “เทรนด์ใหม่ลูกค้าจีนช็อปอสังหาฯ
ไทย ดอดซื้อสิทธิการเช่าบ้านตากอากาศยกโครงการ ๑,๐๐๐ หลัง
เฉียด ๕,๐๐๐ ล้าน” บาท “พบว่าหัวหิน-ชะอำเป็นทำเลใหม่ที่ค่อนข้างร้อนแรง...ที่มีการขายแบบสิทธิการเช่าระยะยาวให้กับกลุ่มจีนโดยเฉพาะ”
รายงานของประชาชาติฯ ระบุด้วยว่า “ลูกค้าจีนหันมาสนใจซื้อบ้านแนวราบมากขึ้น”
แม้จะไม่ได้กรรมสิทธิ์เหมือนกับซื้อคอนโดฯ (กรรมสิทธิ์ ๔๙%) แต่ก็ได้สิทธิ์การเช่าในระยะยาวถึง ๓๐ ปี ตามที่กฎหมายไทยอำนวย
โครงการต่างๆ เช่น ChinaTown
Huahin บุญธานี ๓๖ Guo Tai Group Huahin 50
และหัวไท่ ที่ “ทุกโครงการมียอดขายลูกค้าจีนแล้วเกิน ๕๐%” เหล่านี้ผ่านช่องทางหลักคือ
“ซื้อขายผ่านเอเย่นต์จีน เพราะคนจีนให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากกว่าซื้อกับคนไทย”
ซึ่งน่าจะเป็นข้ออ้างขอไปทีมากกว่า
ในเมื่อแบบแผนการเข้าจับจ่ายใช้สอยในไทยของคนจีนแผ่นดินใหญ่
จะใช้บริการของทุนจีนเอง ที่พัก ร้านอาหาร ร้านของฝาก และ “เครือข่ายเอเย่นต์จีน”
โดยเฉพาะ “โบรกเกอร์จีนรายใหญ่ในเมืองไทย”
ได้แก่ แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ Golden
Emperor Thailand หรือ Sellorate แพลตฟอร์มชื่อดัง
และ Juwai.com เว็บไซต์อันดับหนึ่ง ซึ่ง “เข้าถึงผู้บริโภค ๓.๑ ล้านคน/เดือน”
(https://www.prachachat.net/property/news-405799
และ https://www.facebook.com/KornChatikavanijDP/photos/a.10151851815469740/10157992710089740/?type=3&theater)
นักท่องเที่ยว การลงทุน และธุรกิจ
จากจีนที่ ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ คสช.คุยนักคุยหนา
พร้อมทั้งภาวนาว่าจะเป็นกระจกวิเศษบอกความมั่งคั่งยั่งยืน (ของใครไม่รู้)
ในการครองอำนาจอีก ๒๐ ปี แสดงให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นแล้ว
ว่าราชอาณาจักรไทยก็คือ ‘ลูกไล่’ ของจีน ดีๆ นี่เอง