วันพุธ, มกราคม 01, 2563

ปีใหม่แล้ว แต่ "อาจจะไม่เป็นที่เจริญใจ"


ขณะเขียนนี่หลายพื้นที่ในอีกซีกโลกรวมทั้งไทยผ่านเวลาเที่ยงคืน เส้นแบ่งปีเก่าและปีใหม่ไปแล้ว ในที่นี้จึงขอนำข่าวสารบางอย่างมาสะท้อนว่า คนไทย จะได้เจอะเจออะไรบ้างบางสิ่ง ตั้งแต่ปี ๒๕๖๓ เป็นต้นไป

สิ่งที่นำมาเสนออาจจะไม่เป็นที่เจริญใจ สำหรับหลายๆ คน ดั่งคำอวยพรปีใหม่ที่ให้กันทั่วๆ ไป หากแต่ถ้าเป็นความกังวลก็จะทำให้รับรู้และตั้งตารับมือ หรือต่อสู้ได้ดีกว่าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เพราะการวางเฉย หรือ ‘inert’ ไม่ช่วยนำชีวิตไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้

แม้กระทั่งในบริบทของชีวิตความเป็นอยู่ ตามสภาพดินฟ้าอากาศและธรรมชาติรอบตัว ซึ่งมีข่าวออกมาแล้วว่าในอนาคตอันใกล้แล้งนี้ ทีท่าจะแล้งหนักงมากขึ้นไปอีก สำนักข่าวเอพีนำเสนอเรื่องนี้ลงลึกละเอียดขึ้นไปหน่อย

ท่ามกลางสภาพย้อนแย้ง ตื้นเขิน ของลำน้ำโขง อันมีผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยในภาคพื้นอีสาน และปริมาณน้ำในแม่น้ำลำคลองอันต่อเนื่องกับ แม่โขงเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมที่จะถึง สำนักบริหารจัดการน้ำเตือนระวัง

นอกจากน้ำตามลำน้ำต่างๆ จะมีปริมาณน้อยลงยิ่งกว่าที่น้อยมากแล้วในปีที่ผ่านมา เดือนมีนาและเมษาซึ่งอากาศร้อนสูงสุดก็จะเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำที่สุดได้ด้วย รวมทั้งริมตลิ่งแม่น้ำโขงบางแห่งจะพังทลายลง เพราะระดับน้ำจะต่ำลงถึง ๑ เมตร

ทั้งนี้เป็นผลโดยตรงจากการทดลองเก็บกักน้ำของเขื่อนจินฮอง (ใหม่สุดในจำนวนนับสิบเขื่อนของจีนตามลำน้ำโขง) ระหว่างวันที่ ๑ ถึง ๓ มกราคม แม่น้ำ ๘ สายในไทยที่ต่อเนื่องกับลำน้ำโขงจะเจอผลกระทบนี้โดยตรง
 
กรมชลประทานเพิ่งประกาศตอนปลายเดือนธันวาคมนี้เอง ให้ชาวบ้านระมัดระวังการใช้น้ำ ว่าน้ำในเขื่อนอุบลรัตน์และจุฬาภรณ์สงวนไว้ใช้ได้สำหรับการบริโภคและระบบนิเวศน์เท่านั้น ปริมาณน้ำจะน้อยเกินไปสำหรับการปลูกพืชพันธุ์เกษตรกรรม

คณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเตือนว่าสภาพแล้งในบริเวณลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ที่เป็นอยู่ขณะนี้ในพื้นที่ประเทศไทยและกัมพูชา จะเรื้อรังต่อไปไม่น้อยกว่า ๓๐ ปี อาจถึง ๖๐ ปี ๙๐ ปีก็ได้ เพียรพร ดีเทศน์ ผู้ประสานงานองค์การแม่น้ำนานาชาติเตือน

“ไม่เพียงภาวะแห้งแล้งอันเกิดจากเขื่อนแล้ว ระบบนิเวศน์วิทยาของลุ่มน้ำโขงก็กำลังถูกทำลายไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพน้ำที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาล...ทำให้ระบบนิเวศน์ตามลุ่มน้ำต้องเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยมาก่อน”
 
เห็นได้จากปรากฏการณ์น้ำโขงเปลี่ยนเป็นสีครามเมื่อเดือนที่แล้ว ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ แห่งคณะมนุษยศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยสารคามเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า น้ำหิวโหย อันจะ “ยิ่งทำให้เกิดตลิ่งพัง ต้นไม้ล้มตามชายฝั่ง และสิ่งก่อสร้างพังทะลายมากขึ้นไปอีก”

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าปกติน้ำโขงจะต้องมีสีปูนขุ่นอันเต็มไปด้วยฝุ่นผงซึ่งเป็นสารอาหารเลี้ยงปลาและพืชพันธุ์ตลอดลุ่มน้ำ อาการน้ำโขงไม่ขุ่นนี้เป็นผลจากเขื่อนไซยะบุรีของจีนในลาว ซึ่งกักน้ำเพื่อใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้า เขื่อนกรองเอาผงตะกอนอาหารของปลาและพืชเอาไว้ไม่ไหลมากับน้ำดังก่อน