วันอังคาร, ธันวาคม 24, 2562

ไม่สนฉายา 'เทาๆ' ทั้งที่ค่าผลิตหมอนยางพาราประชารัฐ 'แพงเว่อ' พลายกระซิบว่าน้องชาย 'ออกยา' เป็นกรรมการ


ไม่สนโดนตั้งฉายา เทาๆธรรมนัส พรหมเผ่า ยอมรับ “ไม่ใช่ใสสะอาดประวัติดี แล้วไม่ทำอะไรเลย” แม้แต่เรื่องหมอนยางพารา ค่าทำแพงเว่อ อ้างแค่แนวคิดปรึกษาทีมงานเท่านั้น ยันด้วยว่าไม่เคยคิดจะนำเงินหลวงมาใช้

เรื่องมันเกิดเมื่อโดน ส.ส.พรรคอนาคตใหม่อภิปรายโครงการจัดทำหมอนยางพารา ๓๐ ล้านใบ ที่รัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ มอบหมาย อตก.ดำเนินการผลิต เป้าหมายจะเอาหมอนที่ผลิตมาแจกหน่วยราชการและชาวบ้านทั่วไป ครัวเรือนละ ๑ ใบ

อ้างว่าช่วยดันราคายางไทย แต่ต้องใช้งบประมาณราว ๑๘,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้จะใช้วิธีกู้เงินจาก ธกส. (ธนาคาร ของรัฐเพื่อการเกษตร) รัฐมนตรีคนเก่งของ คสช.ที่คุยว่า “ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ให้ไปดูแลเลือกตั้งซ่อมขอนแก่น” จนเป็นผลสำเร็จ “นี่คือ สาระสำคัญ...ขอให้ดูว่าคนเทาๆ ทำอะไรให้ชาวบ้านบ้าง” ขอให้อยู่กับปัจจุบันและอนาคตเถอะนะ อย่าได้ย้อนไปอดีตให้เสียเวล่ำเวลาเลย


นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่กลับเห็นว่าการตั้งงบประมาณขนาดนั้นมันเว่อไป (ชาวบ้านแถวประเทศออสซี่ที่เขาอารมณ์ ‘nostalgic’ พาลนึกถึงอดีต คิดว่าหมอนยางประชารัฐ อาจราคาสูงอย่างยี่ห้อ สิงโตคู่เหยียบโลก)

ทำให้ พ.ต.อ.รวมนคร ทับทิมธงไชย หัวหน้าคณะทำงานของทั่น รมช. ออกมาแจงต้นทุนการผลิตอย่างละเอียดว่า ค่าน้ำยาง ๖๕ บาท ค่าปลอกหมอนชั้นใน ๙๐ บาท (มีโลโก้) ปลอกชั้นนอกอีก ๘๐ บาท ถุงบรรจุอีก ๕๐ บาท

บวกค่าประชาสัมพันธ์และผลตอบแทน อตก. อีก ๓๕+๓๐ บาท “โดยรวมทั้งหมดจะไม่เกิน ๖๐๐ บาทต่อใบ เมื่อเทียบราคากับหมอนยางพาราในเกรดเดียวกัน ที่วางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าจะอยู่ประมาณ ๒,๐๐๐-,๕๐๐ บาทต่อใบ”

(หมายเหตุ เป็นที่น่าสังเกตุว่าค่า ปลอก ค่าถุง ปาเข้าไป ๒๐๐ กว่าแล้ว ทั้งที่ค่า น้ำ เพียง ๖๕ แล้วจะไม่ให้เขาสงสัยกันได้อย่างไร)
 
แล้วลองไปฟังความเห็นนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการผลิตหมอนยางพารา อย่าง ดร. วีรชัย พุทธวงศ์ แห่งภาควิชาเคมี ม.เกษตรฯ ที่ชี้ว่าราคาต้นทุนการผลิตตามท้องตลาด แค่ใบละ ๓-๔ ร้อยบาทเท่านั้นนะ ถ้าผลิต ๓๐ ล้านใบ ส่วนต่างตั้ง ๖,๐๐๐ ล้านแน่ะ


เรื่องของเรื่องพอดีมีพลายกระซิบออนไลน์ ว่า “มิหนำซ้ำ อตก. ที่มีน้องชายของทั่น ออกยา เป็นกรรมการ ยังจะเอากำไรจากการแจกหมอนอีกใบละ ๓๐ บาท รวมเป็นเงิน ๙๐๐ ล้านบาท” นั่นเชียวนาย