รุ่นพี่ๆ สอนกันใหญ่ สองผู้ชำนาญการ ‘ม้อบ’ ทั้งเตือนทั้งตราหน้า ‘กล้าไหม’ “ควักหมื่นล้านมาสู้...คุณก็ไม่พร้อม” นั่นจากคำของ สนธิ ลิ้มทองกุล
ที่อ้างสรรพคุณว่า “ผมผ่านมาหมดแล้ว
ผมผ่านมาถึงจุดที่พวกเขาเชื่อว่าผมเป็นตัวอันตราย
ทำให้พวกเขาไม่สามารถกุมอำนาจได้ เขาถึงลงขันกันเพื่อยิงผม ๒๐๐ นัด คุณยังไม่ถึงตรงนั้น”
ต่างกับ จตุพร พรหมพันธุ์ หน่อยนึง ซึ่งบอกว่า “คงหันหลังกลับไม่ได้”
ประธาน นปช.ผู้กลายเป็นคน ‘คุ้นเคยกันดียิ่ง’ กับทั้งอดีตหัวหน้า พธม. และ
กปปส. (‘พุทธะอิสระ’ สุวิทย์
ทองประเสริฐ) คาดการณ์ไว้อย่างน่าละเหี่ยว่า “ขบวนการของนายธนาธรจะมีจุดจบไม่ต่างจาก
นปช.คือประชาชนบาดเจ็บ ล้มตาย และแกนนำต้องติดคุก”
จากการที่ ‘แฟล้สช์ม้อบ’ เมื่อวันก่อนของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ‘จุดติด’ แล้วบอกว่า “ปีหน้าของจริง จะเหมือนฮ่องกงไหม ผมบอกเลยไม่เหมือน” เพราะ “มันไม่มีเอกภาพ
จึงทำได้อย่างเดียวคือกวนน้ำให้ขุ่น” คำเตือนของสนธิลงรอยเดียวกับจตุพร
“วิเคราะห์สถานการณ์ว่า หลังจากนี้ความขัดแย้งทางการเมืองจะถูกเร่งเร้าสูงสุดด้วยม็อบต่อต้านพวกชังชาติ
หากไม่มีการยับยั้ง...จะรุนแรงยิ่งกว่าเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
อาจจะเป็นสงครามกลางเมืองยืดเยื้อแบบรวันดา ที่คนสองฝ่ายเข่นฆ่าด้วยความเชื่อที่แตกต่างกัน”
ทางจตุพรนั้นแนะให้ “ระวังถูกแทรกแซง
การเคลื่อนไหวครั้งต่อไปต้องระวังให้มากขึ้น” เนื่องเพราะ “การชุมนุมแบบต่างคนต่างไปมีความสุ่มเสี่ยง
ต่อการถูกแทรกแซงและทำให้เกิดการสร้างสถานการณ์ได้ง่ายดายมาก”
ด้านสนธิ “เชื่อว่ามันจุดไม่ติด...ถ้าจะสู้แบบตาต่อต่าฟันต่อฟัน
ก็ต้องสู้ด้วยเลือด คำถามคือกล้าพอไหม ผม, จตุพร,
ณัฐวุฒิ ผ่านมาแล้ว” สนธิปรามาสว่าที่ธนาธรประกาศ “ทางเลือกแก้ รธน.
ที่ต้องใช้เลือด...รัฐบาลก็จะปล่อยให้คุณบ้าไป แล้วก็เล่นงานคุณด้วยกฎหมาย”
หลังจากทั้งตบหัวแล้วสนธิก็ลูบหลัง “เรื่องวิจารณ์ทหารตนเห็นด้วย
ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย...หลังๆ อาจลืมตัวไปจนถึงก้าวร้าว” เขาว่าเป็นความผิดพลาด “ไม่ใช้วิธีแทรกซึม
ไม่ใช้วิธีใจเย็น หาทางเปลี่ยนแปลงแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”
และแนะต่อ “อย่าไปสู้อยู่เรื่องเดียวว่าแก้รัฐธรรมนูญ
แต่ต้องสู้เรื่องการบริหารงานของรัฐบาล ว่าเต็มไปด้วยความไม่โปร่งใสอย่างไร
ก็สู้ไปแบบนี้ ย้ำคิดย้ำทำ” เป้าหมายคือ ‘วันหนึ่ง’
รัฐบาลยุบสภา “วันนั้นคุณจะเป็นเสียงใหญ่ในการตั้งรัฐบาล”
ลงเอยว่าทั้งสนธิและจตุพร มองว่าธนาธรท่าจะ
‘ไม่รอด’ ดาบสามและสี่ “ถูกร้องเรียน
‘ล้มล้างการปกครอง’ ที่นายณัฐพร
โตประยูร ไปยื่นไว้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ
๕ ต่อ ๔ รับเรื่องไว้พิจารณา”
(https://www.pptvhd36.com/news/116001, https://www.matichon.co.th/politics/news_1828605 และ https://www.pptvhd36.com/news/=116001_2)
แต่ปรากฏว่ามีนักวิชาการกฎหมายค่ายเหลือง เสนอความเห็นต่อการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ
ในเรื่องที่ กกต.ชงส่งกรณีเงินกู้ ๑๙๑ ล้านของธนาธรให้แก่พรรค
เอาไว้อย่างประหลาดว่าตุลาการต้องใช้ ‘นิติวิธี’
ตีความอย่างสมเหตุสมผล “อย่าไปกลัวหรือเกรงใครทั้งสิ้น ถ้ามือไม้อ่อนหรือกระดูกสันหลังยังตั้งตรงไม่ได้
ก็ย้ายภพไปเป็นศาลพระภูมิเสียยังจะดีกว่า” ใครจะนึกว่า แก้วสรร อติโพธิ
กล้าฟันธงออกมาอย่างนี้ หลังจากที่แจกแจงข้อกฎหมายหลายประเด็น
อันได้แก่ กกต.กล่าวโทษโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหาและรับฟังคำโต้แย้งอย่างนี้ได้หรือไม่
การที่ธนาธรให้พรรคกู้เงินดำเนินการ ถือว่าผิดตาม พรป.พรรคการเมือง ม.๗๒ ที่ว่าต้องเป็นการได้มาโดย
‘มิชอบ’ ไหม
และถ้าตัดสินว่าเป็นการรับบริจาคเกิน ๑๐
ล้านบาท ผิด ม.๖๖ ก็แค่จำคุกและตัดสิทธิ์ผู้บริหารพรรค “กกต.จะขยายความมาตรา ๗๑ มาใช้เพื่อยุบพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้”
ประการสำคัญที่แก้วสรรชี้ช่องของกฎหมายในคดียุบพรรคอนาคตใหม่
ว่าเห็นด้วยกับ กกต.ที่ใช้ ม.๗๒ เล่นงาน ว่า “ขยายไปถึงการได้เงินมาโดยมิชอบตามกฎหมายพรรคการเมืองด้วย”
ละก็สามารถต่อสู้ด้วยข้อเท็จจริงว่า
“การรับเงินกู้ ๑๙๑ ล้านบาทจากหัวหน้าพรรคนั้น
ไม่มีกฎหมายพรรคการเมืองห้ามไว้เลย” มิหนำซ้ำ “การกู้เงินไม่ใช่ ‘เงินได้’ ตามที่มาตรา ๖๒ ได้ระบุจำกัดไว้ ๗ ประเภทเท่านั้น แน่นอนว่าการกู้เงินทำให้
‘ได้เงิน’ แต่ก็หาใช่ ‘เงินได้’ ตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่”
นั่นแก้วสรรเขียนด้วยจิตสำนึกแบบเดียวกับความคิดของสนธิเรื่อง
‘จุดกำเนิดของอนาคตใหม่’ ที่ว่า “เพราะคนรุ่นใหม่ก็ไม่เอาทักษิณ” ด้วยหรือเปล่าไม่รู้
เขาน่าจะหวังว่าหลังจากธนาธรและผู้บริหารโดนดาบสอง
ตัดสิทธิการเมือง ๒๐ ปีแล้ว ยังเหลือพรรคให้พวกตนเข้าไปสวมได้