วันศุกร์, ธันวาคม 20, 2562

“แฟลชม็อบ” เมื่อ 5 ปีที่แล้ว วันนั้นก็คล้ายๆ กับเมื่อวันวาน




ผมจำได้ว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หลังรัฐประหารใหม่ๆ สัก 3-4 วัน ผมเดินทางไปชุมนุมกับพวกต้านรัฐประหารทันที

วันนั้นก็คล้ายๆ กับเมื่อวาน คือไม่มีแกนนำ และทุกคนตั้งใจจะให้เป็น “แฟลชม็อบ”

แน่นอน ในวันนั้นยังมีสิ่งที่เรียกว่า “กฎอัยการศึก” อยู่

หลังเลิกงานผมออกจากสโมสรกองทัพบก ขึ้นรถไฟฟ้าไป เพื่อจะพบว่ารถไฟฟ้าปิดสถานี ตั้งแต่สนามเป้า อนุสาวรีย์ชัย และพญาไท ไม่ให้คนลง ด้วยเหตุผลว่า “คนใช้สถานีเยอะเกินไป”

แฟลชม็อบในเวลานั้นคือการสู้กับทหารโดยตรง คือมีหน่วยปฏิบัติการจิตวิทยาอยู่ด้วย เมื่อผู้ชุมนุมตะโกนอะไร ทหารก็จะตอบกลับมาซ้ำๆ ด้วยเครื่องขยายเสียง พร้อมกับเสียงด่า “นักการเมือง” ว่าเป็นเหตุแห่งความวุ่นวาย

และใครที่ดูจะมี potential พอเป็นแกนนำหน่อย ก็จะโดนลากขึ้นรถฮัมวี่ ตามมาด้วยข้อหาติดตัว ซึ่ง ณ ตอนนั้น หากผิดกฎอัยการศึก คือขึ้นศาลทหารอย่างเดียว

“แฟลชม็อบ” วันนั้นใช้เวลาไม่นานนัก ก็มีความพยายามจัดขึ้นอีกหลายรอบ และเกือบทุกครั้ง ก็จะจบเหมือนกันคือมีใครสักคนโดนข้อหาฝ่าฝืนกฎอัยการศึก มีเด็กนักศึกษาถูกจับด้วยข้อหาร้ายแรง เช่น ผิดกฎหมายอาญาว่าด้วยหมวดความมั่นคง และก็มีพวกเรา คอยเรียกร้องให้ปล่อยตัว

สุดท้าย การชุมนุมทุกครั้งก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ คนจำนวนมากกลัวคดี แม้จะรู้ว่าวิธีที่พวกเขาเข้าสู่อำนาจนั้นไม่ถูกต้อง ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ส่วนกฎหมายที่เขาเอามาใช้ ก็โคตรแห่งความไม่สมเหตุสมผล

5 ปีที่ผ่านมา มีคนโดนคดีไร้สาระแบบนี้เต็มไปหมด หลายคนต้องเสียเวลาขึ้นศาลเพราะต้านคสช. เพราะเรียกร้องให้ตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์ หรือแม้กระทั่งรณรงค์ไม่เอาร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังใช้อยู่ปัจจุบัน ก็ต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกัน

การเอาคดีพวกนี้มายัด และการรู้ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง ทำให้พวกเรา “กลัว” จนหัวหด แล้วก็ใช้ชีวิตดูความไม่เป็นธรรมต่อไป ผ่านวันเวลาตั้งแต่ 1 ปีคสช. ไปจนถึงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ที่หลัง Vote Yes ชนะขาดลอย เพราะแกนนำ Vote No โดนคดีกันถ้วนหน้า ทุกสิ่งก็ดูจะยิ่งเข้าทาง “พวกเขา”

สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการเลือกตั้ง การเกิดขึ้นของอนาคตใหม่ เปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือการบอกว่าการ “ประนีประนอม” กับ “พวกเขา” นั้น ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว

22 มี.ค. วันเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ขึ้นไปร้องเพลง “หยุดตรงนี้ที่เธอ” ที่สนามศุภชลาศัย ผมพบเพื่อนจำนวนมากที่งาน Convention ของอนาคตใหม่ที่สนามไทยญี่ปุ่น หลายคนไม่ได้สนใจการเมือง ขนาดที่จะต้องฝ่ารถติดหลังเลิกงานวันศุกร์ มานั่งฟังช่อ ฟังปิยบุตร ฟังธนาธร ทั้งที่สามารถนั่งดูไลฟ์สดที่บ้านก็ได้

แต่ต่างคนก็ต่างมา ด้วยเชื่อว่าอนาคตใหม่ จะเปลี่ยนอะไรได้..

จนถึงวันนี้ เรารู้แล้วว่ายังไง พวกเขาก็ไม่ต้องการเปลี่ยน และพวกเขาก็ไม่ต้องการให้ใครก็แล้วแต่เข้าใกล้อำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนได้

หลังเลือกตั้งไม่กี่วัน ธนาธรเลยโดนคดีค้างเก่าตั้งแต่หลายปีก่อน ช่อกับปิยบุตร ก็โดน IO ทุกวิถีทาง ส่วนพรรคที่อายุเพียงปีเศษก็โดนคดีตามมาอีกเป็นหางว่าว

ซึ่งต่อให้คุณจะเก่งกฎหมายมหาชนมากขนาดไหน เขาก็จะหาความผิดมาให้คุณได้ และกล่อมเกลาให้สังคม “เชื่อ” ได้อยู่ดี

และถ้าไม่มีอนาคตใหม่ ถึงอย่างไร เพื่อไทย เสรีรวมไทย ก็จะโดนคดีไม่ต่างกัน ถ้าไม่ยอม “ประนีประนอม” กับพวกเขา

แต่ครั้งนี้ เผอิญว่ามันมีตัวเปรียบเทียบ ที่ทำให้เราเห็นชัดว่า ในนามของความยุติธรรม มันมีคนที่ทำอะไรก็ถูกเสมออยู่ด้วย...

ภาพที่แยกปทุมวัน จึงเป็นทั้งความน่าดีใจ และความน่ากังวลผสมกันอยู่แปลกประหลาด

เพราะต้องไม่ลืมว่า ต่อให้พวกเขาจะบริหารเศรษฐกิจ บริหารประเทศได้ไร้ประสิทธิภาพขนาดไหน แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาเก่งก็คือการจัดการ “ม็อบ” และสิ่งที่พวกเขาเรียกตลอดมาว่าความ “ไม่สงบ”

หลังจากนี้คดีทุกคดี จะพุ่งไปหาตัวแกนนำ แม้ว่าจะไม่มีแกนนำ แต่เขาก็จะหาแกนนำให้ได้ การยุบพรรค การตัดสิทธิ์แกนนำจะมาถึงเร็วขึ้น และถ้าคดียังทำอะไรไม่ได้ก็ต้องไม่ลืมว่าเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คนธรรมดาอย่าง “นิว” ก็ถูกอันธพาลดักตีหัวมาแล้วริมถนนรามอินทราโดยที่เรื่องเงียบ จับใครไม่ได้เลย

และเขาจะไม่มีทางให้ใครก่อ “ม็อบ” หรือมีคนมาไล่ได้อีก เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาปล่อยไปเรื่อยๆ มันจะจุดติด และความเสี่ยงในการที่อำนาจรัฐจะเปลี่ยน มันสูงเกินไป เกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้

นั่นแปลว่าเขาจะใช้ทุกวิถีทางที่จะหยุดการเคลื่อนไหวให้ได้ ไม่ว่าจะอาศัยเรื่องกฎหมาย เรื่องความมั่นคง เรื่องความสงบเรียบร้อย หรือด้วยกระบวนการใต้ดิน และในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไอ้ทุกวิถีทางเหล่านี้ มักจะจบด้วยความรุนแรงเสมอ

นั่นคือสิ่งที่พวกเราต้องระวัง...

อาจฟังดูเหมือนสิ้นหวัง แต่สิ่งที่เรามีอย่างเดียวคือ “เวลา” ที่เรามีเหลือมากกว่าพวกเขาแน่นอน ผมเชื่อเสมอว่าการพยายาม “ฝืนโลก” และการหยุดเวลาเอาไว้ ในที่สุด พวกเขาก็จะพ่ายแพ้ ไม่ว่าพวกเขาจะสามารถกล่อมเกลาด้วยความสามัคคี ด้วยศีลธรรมอันดี หรือจะเรียกพวกเราว่าพวก “ชังชาติ” มากขนาดไหน ก็จะไม่มีใครเอาด้วยแล้ว

และ “ต้นทุน” ของพวกเขา ในที่สุดก็จะหายไปเรื่อยๆ จากการใช้อำนาจ ใช้กฎหมาย การบิดหลักการทุกอย่าง เพื่อบอกว่าพวกเขานั้น “ถูกเสมอ” พวกเขานั้นสูงส่งกว่าเสมอ

ทั้งหมดนี้ หวังเพียงอย่างเดียวว่าพวกเราจะไม่ต้องใช้เวลามากเกินไป และในที่สุด เราจะไม่บอบช้ำกันมากเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าไม่ง่ายเลย

จนกว่าจะถึงวันนั้น..


Supachat Lebnak
Follow · December 14 ·