วันพุธ, ธันวาคม 25, 2562

เสียงบ่น จากประชาชน ผู้มีรายได้ปานกลาง เรื่องกฎหมายจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง




มีคนส่งมา ผมเห็นว่าน่าสนใจ

“อยากให้แชร์กันเยอะๆให้ถึงหูรัฐบาล.....ประเทศไทยอาจพังพินาศ เพราะรัฐบาลจุดชนวนเริ่มจากมาตรการจัดเก็บภาษีที่ดิน โดยศึกษาไม่รอบด้านและไม่เป็นธรรม

วันนี้ผมขออนุญาต เป็นตัวแทน ชนชั้นกลางที่ไม่มีรายได้จากเงินบำนาญ เพื่อเลี้ยงชีพ ยามชรา, ส่งเสียงสะท้อนสู่รัฐบาล

การที่รัฐ ออกกฎหมายจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, รวมถึงคอนโดมิเนียมและท่ีดินเปล่า “ในหลายอัตรา” นั้น ประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องการให้รัฐบาลทบทวนการเก็บภาษีดังกล่าว.

เพราะมันเป็นภาระค่าใช้จ่ายสำหรับคนที่กำลังสร้างฐานะ โดยสุจริต สร้างความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง

เงินทุกบาททุกสตางค์ มีคุณค่าต่อประชาชนอย่างมากสำหรับเศรษฐกิจของประเทศในวันนี้

คนประเภทมนุษย์เงินเดือนจำนวนมหาศาล* เก็บหอมรอมริบ.อดออม-ประหยัด. วางแผนการใช้ชีวิตในบั้นปลาย เลือกแนวทางกู้เงินมาซื้อบ้าน ที่ดิน คอนโด ฯ, ผ่อนชำระเสียดอกเบี้ยมาโดยตลอด

หวังว่าในอนาคตหลังจากเกษียณอายุ เมื่อไม่มีรายได้จากเงินเดือน ก็จะสามารถ มีรายได้จากการเก็บค่าเช่าเล็กๆน้อยๆ มาประทังชีวิต. ซึ่งน่าจะเป็นหนทางที่มีความเสี่ยงน้อยในยามเศรษฐกิจโลกตกต่ำ,

มาวันนี้กลับต้องเสียภาษีเพิ่ม.

เพียงรายได้จากค่าเช่าหน่วยละ 3,000-5,000 บาท เศรษฐกิจยุคซึมยาวที่ผ่านมา บางเดือนผู้เช่าก็ไม่มี หรือจ่ายค่าเช่าไม่ตรงเวลา ทำให้บางช่วงเก็บได้ บางช่วงก็เก็บไม่ได้. ชักหน้าไม่ถึงหลัง

แม้ช่วงที่ไม่มีคนเช่า แต่เจ้าของก็จำทน ต้องแบกรับภาระเสียค่าส่วนกลางเองและค่าภาษีตลอดไป จนไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาเสียให้รัฐแล้ว

บางรายซื้อที่ไว้ก่อนและยังไม่มีรายได้พอที่จะปลูกบ้าน ก็ต้องเสียภาษีที่ดิน (บอกว่าเป็นที่ว่างเปล่า) แล้วเมื่อไหร่จะมีปัญญาหาเงินปลูกบ้านเป็นของตัวเอง

พวกเศรษฐีที่ดินตัวจริงมักใช้ช่องว่างทางกฎหมายหลบเลี่ยงภาษีได้อย่างแยบยล ผู้ที่หนีไม่ออกเพราะมีทรัพย์สินเพียงหยิบมือ ก็ต้องทนต่อมาตรการต่างๆเหล่านี้

สำหรับบ้านพักอาศัย รัฐกำหนดให้เพียงหลังแรก และต้องมีชื่อในทะเบียนบ้าน พวกเขาก็ต้องย้ายเข้าอยู่ก่อนวันที่ 1 มค 63. (บ้าไปแล้ว สิ้นปีแทนที่จะมีความสุขต้องไปทำเรื่องย้ายตัวเองเข้าทะเบียนบ้าน)

ถ้ารัฐบาลเก็บภาษีอย่างนี้ อีกหน่อยหากเจ้าบ้านเสียชีวิต. ทายาทก็จะไม่โอนกรรมสิทธิ์เป็นของตัวเอง เพราะไม่ต้องการเสียภาษี. ทางรัฐ. ก็จะขาดรายได้ “ทั้งภาษีที่เคยเก็บ กับภาษีและค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์”

ในที่สุด คนก็จะไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์, ไม่มีบ้านใหม่, ไม่มีการซื้อสินค้าเข้าบ้าน เศรษฐกิจของประเทศก็จะไม่มีการขยายตัว ทั้งการซื้อขายที่ดิน, วัสดุก่อสร้าง, เครื่องใช้ในครัวเรือน, แรงงานต่างๆ ก็จะตกงาน

ประเทศไทยอาจพังพินาศ เพราะรัฐบาลจุดชนวนเริ่มจากมาตรการจัดเก็บภาษีดังกล่าว.โดยศึกษาไม่รอบด้านและไม่เป็นธรรม

ชนชั้นใดออกกฎหมาย ก็เอื้อประโยชน์แก่ชนชั้นนั้น

ประชาชนคนธรรมดาที่ไม่มีบำนาญกิน. จะยิ่งเดือดร้อน. เพราะไม่รู้จะไปลงทุนอะไรเพื่อเลี้ยงชีพ. โจรจะเต็มบ้านเต็มเมือง ปัญหาสังคมจะลุกลามขยายตัวสูงขึ้น

ตัวอย่าง: คนมีบ้านหลังเดียว ราคา 50 ล้าน ไม่ต้องเสียภาษี

แต่หากเป็นกรณีคนมีบ้าน 5 หลัง, หลังละ 3 ล้านราคารวมกันยังไม่ถึง 50 ล้าน ต้องเสียภาษี 4 หลัง

บางคนมีบ้าน 3 หลัง, หลังละ 1 ล้าน (ไม่ถึง 50 ล้าน) ต้องเสียภาษี 2 หลัง

นอกจากนั้น คนที่ซื้อบ้านโดยเงิน”กู้”ไว้ 2-3 หลัง (ไม่ใช่เงิน”กู”) เพื่อมอบให้ลูกหลาน. แต่ยังไม่ได้โอนเพราะยังไม่มีเงินค่าธรรมเนียม. ก็ต้องวิ่งหาเงินไปเสียภาษี ฯ

หากแจ้งข้อเท็จจริงผิดพลาด “มีความผิด” จะต้องรับโทษปรับสูงและมีโทษถึงจำคุก ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้เกิดการเอื้อประโยชน์ (ทำมาหากิน) ต้องระมัดระวัง ในที่สุดผู้ที่จะติดคุกก็จะเป็นเพียงประชาชนที่ไม่รู้กฎหมาย-หรือประเภทนอมินี

จึงขอเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องได้พิจารณาทบทวนผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษีนี้

ท่านผู้อ่านเห็นเป็นอย่างไรครับ ?

นายเชษฐา ไชยสัตย์
เสียงบ่น จากประชาชน
(ผู้มีรายได้ปานกลาง)
จังหวัดอุบลราชธานี
22 ธันวาคม 2562”