วันอาทิตย์, ธันวาคม 29, 2562

ฉายารัฐสภา... "ดงงูเห่า" "ทหารเกณฑ์" บีบีซีไทย รวบรวมฉายารัฐสภาประจำปีนี้




ใครคือดาวเด่น ดาวดับ คู่กัด รวมถึงฉายาประจำรัฐสภาประจำปีนี้ ?

ห่างหายไปกว่า 5 ปี สำหรับการตั้งฉายาประจำรัฐสภาเพื่อสะท้อนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยสื่อมวลชนประจำรัฐสภา

เริ่มต้นด้วย...

1) ฉายาสภาผู้แทนราษฎร คือ "ดงงูเห่า"
เพราะการหายไปของสภาผู้แทนราษฎรกว่า 5 ปี ทำให้สภาฯ เป็นที่คาดหวัง จะเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน แต่จะด้วยผลกระทบจากรัฐธรรมนูญ ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ หรือเป็นนิสัยส่วนบุคคล ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "งูเห่า" ทั้งการประกาศตัวเป็น "ฝ่ายค้านอิสระ" แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฝ่ายค้านอิสระ กลับลงคะแนนสวนทางมติของพรรคร่วมฝ่ายค้านหลายครั้ง เช่น การสวนมติ พ.ร.ก.โอนย้ายอัตรากำลังพล และการแสดงตนร่วมเป็นองค์ประชุมให้รัฐบาลในการนับคะแนนญัตติการตั้งกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากคำสั่ง คสช.ใหม่ เป็นต้น

2) ฉายาวุฒิสภา คือ "สภาทหารเกณฑ์"

ตามกลไกที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดให้มีวุฒิสภาแบบพิเศษใน 5 ปีแรกด้วยการคัดเลือกโดย คสช. และ ส.ว.ชุดปัจจุบันจำนวนไม่น้อยมาจากบุคคลที่เคยเป็นสมาชิกสนช. ที่คสช.เคยแต่งตั้งอีกด้วย ทำให้ ส.ว.เปรียบเสมือนเป็นทหารที่ถูก คสช.เกณฑ์เข้ามา ที่ไม่เพียงมีหน้าที่ในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปีแรกเท่านั้น แต่ยังมีภารกิจ ในการเทคะแนนเลือกพล.อ.ประยุทธ์ ให้หวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และในอนาคตกำลังจะมีหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้าน และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคกำลังจองกฐินเตรียมแก้ไขไว้ด้วย

3) ฉายาประธานสภาผู้แทนราษฎร นายชวน หลีกภัย คือ "มีดโกนขึ้นสนิม"

แม้จะมีความตั้งใจจะให้ประชาชนกลับมาศรัทธาสภาฯ แต่มีดโกนอาบน้ำผึ้ง ที่เคยบาดลึกดูกำลังขึ้นสนิม หลังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในสภาได้ ทั้งการวินิจฉัยเรื่องการนับคะแนนใหม่ในญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรา 44 จนนำมาสู่เหตุการณ์สภาล่ม ไปจนถึงการพยายามลอยตัวกับปัญหา โดยเฉพาะความขัดแย้งในคณะกรรมาธิการสามัญฯ ทั้งที่เป็นผู้นำสูงสุดของสภา แต่ถึงจะมีสนิม ที่อาจฟันอะไรไม่ขาดทีเดียว แต่หากใครได้โดนแล้ว ยังต้องรู้สึกเจ็บ และต้องรีบฉีดยากันบาดทะยัก เพราะวาจาของนายหัวเมืองตรัง ยังเจ็บจี๊ดไม่เปลี่ยนแปลง

4) ฉายาประธานวุฒิสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย คือ "ค้อนยาง"

สื่อมวลชนรัฐสภาได้ให้ฉายานี้จากเหตุที่ก่อนหน้านี้ เคยดำรงตำแหน่งประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติสมัย คสช. มาก่อน แต่เมื่อมาทำหน้าที่เป็นประธานวุฒิสภา บทบาทและอำนาจหน้าที่ที่เคยมีนั้นหายไป ทำให้สมาชิกรัฐสภา โดยเฉพาะ ส.ส.ฝ่ายค้านไม่ยำเกรงในบารมีของประธานวุฒิสภา เห็นได้จากการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่ออภิปรายการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ของคณะรัฐมนตรีเมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา เพราะทุกครั้งที่นายพรเพชรขึ้นทำหน้าที่ประธานการประชุม ในฐานะรองประธานรัฐสภา จะถูกส.ส.ลองของ จนควบคุมการประชุมไม่ได้ โดยเฉพาะการปะทะคารมกันระหว่าง “พล.อ. ประยุทธ์” และ “พล.ต.อ. เสรีพิศุทธิ์” จนนำมาซึ่งความวุ่นวายกลางที่ประชุม แม้ประธานวุฒิสภา จะประเดิมการใช้ค้อนทุบบนบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสงบ แต่กลับสะท้อนผลตรงข้าม จึงสะท้อนให้เห็นว่า ค้อนที่นายพรเพชรถือไว้นั้นเป็นแค่ “ค้อนยาง” เท่านั้น

5) ฉายาผู้นำฝ่ายค้านฯ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ คือ "ขนมจีนไร้น้ำยา"

นายสมพงษ์ ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในภาวะที่ฝ่ายค้านไม่ได้เป็นลูกไล่รัฐบาลเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะมีเสียงในสภาที่สูสีกัน และฝ่ายค้าน เคยชนะโหวตรัฐบาลมาแล้วในการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากประกาศ และคำสั่งของ คสช.ตามมาตรา 44 แต่ผู้นำฝ่ายค้านฯ ยังไม่อาจแสดงบทบาท และศักยภาพในการตรวจสอบรัฐบาลให้เป็นที่ประจักษ์ เมื่อเทียบกับผู้นำฝ่ายค้านฯ ในอดีต อีกทั้งยังไม่ปรากฎบทบาทการเป็นผู้นำเพื่อให้การทำงานของสภาฯ เกิดความสมานฉันท์ และเป็นที่จดจำ จึงไม่ต่างอะไรกับขนมจีน ที่ดูน่ารับประทาน แต่เมื่อไร้น้ำยารสเลิศ ก็ทำให้ขนมจีนจานนั้น ไม่ได้อยู่ในสายตา

6) ดาวเด่นแห่ง ปี คือ นายปิยบุตร แสงกนกกุล

สำหรับดาวเด่นปีนี้ ได้แก่ นายปิยบุตร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เหตุผลหลักที่ทำให้นายปิยบุตร ได้รับตำแหน่งดังกล่าว คือ การเปิดประเด็นเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณตนของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ครบถ้อยคำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จนนำมาสู่การเปิดประชุม เพื่ออภิปรายทั่วไปของสภาผู้แทนราษฎร และตลอดการทำหน้าที่อภิปรายในสภา ก็ไม่ได้ใช้แต่เพียงวาทะศิลป์เท่านั้น เพราะล้วนมีเหตุผลทางวิชาการ และกฎหมายรองรับ

7) ดาวดับแห่งปี คือ “นางสาวปารีณา ไกรคุปต์”

นางสาวปารีณา ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้สร้างกระแสในแง่ลบผ่านทางสื่อออนไลน์เป็นระยะ แม้จะแสดงบทบาทตรวจสอบการถือครองที่ดินของมารดานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แต่กลับเป็นคนที่ไม่ยอมรับการตรวจสอบการถือครองที่ดินในจังหวัดราชบุรีของตนเอง ทั้งที่มีตำแหน่งกรรมาธิการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งทุกครั้งที่ถูกผู้สื่อข่าวสอบถามถึงประเด็นดังกล่าว กลับพยายามบ่ายเบี่ยง ถึงขนาดที่กล่าวอ้างว่า ได้ทำ MOU กับนักข่าว เพื่อยุติการสัมภาษณ์โดยไม่มีหลักฐาน สื่อมวลชนจึงหวังว่า นางสาวปารีณา จะมีการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในอนาคตหลังได้รับตำแหน่งนี้

8) คู่กัดแห่งปี คือ “ปารีณา และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์”

แม้ว่าจะต่างวัยกันแต่ก็เป็นมวยถูกคู่ แต่นางสาวปารีณา ถูกพรรคพลังประชารัฐ ส่งมาเป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อปกป้องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ภายหลังพล.ต.อ. เสรีพิศุทธิ์ พยายามเรียกนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงปมการถวายสัตย์ฯ ต่อคณะกรรมาธิการฯ แต่ น.ส.ปารีณาพยายามขัดขวางทุกวิถีทาง ถึงขั้นมีการล็อบบี้สมาชิกในพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบกันเองภายในคณะกรรมาธิการ จนงานอื่น ๆ ของคณะกรรมาธิการไม่เดินหน้า ดังนั้น การปะทะของนางสาวปารีณา และพล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ จึงมีแต่เพียงวิวาทะที่หาแก่นสารไม่ได้

9) คนดีศรีสภาฯ ปี 2562

เป็นที่น่าเสียดายสำหรับตำแหน่งนี้ สื่อมวลชนประจำรัฐสภา พิจารณา และลงมติร่วมกันแล้วว่า ยังไม่มีใครเหมาะสมที่จะได้ตำแหน่งดังกล่าว

สำหรับเหตุการณ์แห่งปี 2562 นี้ คือเหตุการณ์ "สภาล่ม” เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึง 2 ครั้ง 2 วันติดต่อกันระหว่างการพิจารณาญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากประกาศและคำสั่งของคสช. ตามมาตรา 44 สาเหตุเริ่มมาจากการที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลแพ้โหวตให้กับฝ่ายค้าน แต่ปรากฎว่า ส.ส.รัฐบาลใช้สิทธิขอนับคะแนนใหม่ จนนำมาสู่การลงคะแนนใหม่ โดยก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนดังกล่าวจะต้องมีการนับองค์ประชุมก่อน ทว่าในคืนประชุมแรกเหลือ ส.ส.ร่วมเป็นองค์ประชุมเพียง 92 คนเท่านั้น และหลังมีการนัดประชุมครั้งใหม่ แต่ก็ยังมีส.ส.เพียง 240 คนไม่ครบองค์ประชุม นับเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียให้กับสภาฯ สะท้อนสภาวะการณ์ปัญหาเสียงปริ่มน้ำระหว่างฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลอย่างชัดเจน

ปิดท้ายด้วย วาทะแห่งปี 2562 คือ "ตัดพี่ตัดน้อง" เกิดขึ้นในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐบาล ระหว่างที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยอภิปรายโจมตีรัฐบาลดุเดือด กล่าวหาว่า โกงเลือกตั้งจนได้กลับสู่ตำแหน่งโดยไม่สุจริต จนเกิดวาทะดังกล่าว ที่พล.อ.ประยุทธ์ พูดกลางที่ประชุมรัฐสภา เพื่อตอบโต้พล.ต.อ. เสรีพิศุทธิ์ ว่า “เรารู้จักกันมานาน ท่านเป็นรุ่นพี่ผม แต่งงานวันเดียวกัน แต่วันนี้ไม่ถือว่าเป็นรุ่นพี่อีกแล้ว เพราะท่านไม่ให้เกียรติผม เคยพูดว่าจะชักปืนยิงผม ถ้ายิงจริง ท่านก็ติดคุกไปแล้ว ท่านพูดจาหยาบคาย เหรียญรามาผมก็ได้ แต่ไม่เคยอวดอ้างอำนาจ และให้ไปทบทวนตัวเอง” จากการตัดพี่ตัดน้องในวันนั้น