อย่าได้ดีใจกันไปกับคำพูดของประยุทธ์ที่ว่า
“คำสั่ง
ม.๔๔ ตนก็ไม่ได้อยากจะมีเอาไว้” คสช.กำลังเร่งรัดดำเนินการยกเลิกให้เร็วที่สุด “ทุกอย่างจะแล้วเสร็จก่อนมีรัฐบาลใหม่”
และไม่ต้องดีใจเช่นกัน
โดยเฉพาะในหมู่แฟนคลับ ‘ทักษิณ’
เพราะดูเหมือนว่ารูปร่างหน้าตารัฐบาลใหม่ของประยุทธ์ถอดพิมพ์ ครม.เมื่อครั้ง
ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ยังกับทำกิ๊ฟมาจากอู่เดียวกัน (มีคนทำภาพกร๊าฟฟิคเทียบเคียงเอาไว้
พิสูจน์ได้)
ประเด็นคณะรัฐมนตรี
คสช.๒ ที่ทำท่าว่าพรรค ปชป. และ ภท.จะยอมกินน้ำใต้ศอก ‘สามมิตร’ นัยว่าเสร็จสรรพพอเห็นเค้าหน้ากันแล้วนี้ เป็นรัฐมนตรีที่เคยอยู่กับทักษิณเสียเยอะ
แต่ล้วนประเภทเกรดบี เกรดซี โดยเฉพาะ สมคิด จาฯ
ถึงประยุทธ์จะเอามาใช้งานทั้งยวง
ก็หวังยากว่าจะขยับปรับคุณภาพเป็นเกรดเอได้ เพราะอยู่ในกรอบครอบของ คสช.
ซึ่งเห็นกันมาแล้ว ๕ ปี มีแต่ “เรื่องกินเรื่องอยู่ใครไม่สู้พ่อ (ง)
เรื่องพายเรื่องถ่อพ่อ (ง) ไม่สู้ใคร”
มีเกล็ดเรื่อง
‘ความเลวร้ายของทักษิณ’
ในมโนคติของพวกเกลียดตระกูลชิน ที่ ‘ยิ่งชีพ
(เป๋า) @yingcheep’ ประมวลไว้ “เท่าที่จำได้ เช่น 1)
ดูด ส.ส. จากพรรคอื่นมาเข้าพรรคตัวเอง 2) ยึดสภาผู้แทน ไม่ฟังเสียงฝ่ายค้าน
3) ส่งคนของตัวเอง ไปยึด ส.ว. 4)
ส่งคนของตัวเอง ไปยึดองค์กรอิสระ 5) คุมสื่อ ใช้ช่องรัฐมานั่งพูดคนเดียว” ล้วนถูก
คสช.ลอกเอามาใช้ทั้งนั้น ที่มีคนสัพยอกว่าตอนสัมภาษณ์คนเข้าไปเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาล
คสช.๒ แค่ถามว่าเคยอยู่กับทักษิณหรือเปล่า ถ้าเคยเอาเลย ท่าจะจริง
ส่วนเรื่องยกเลิกมาตรา
๔๔ ต้องฟังดีๆ ฟังหลายๆ หน แล้วจะพบว่ามีกลลวงแฝงอยู่ ประยุทธ์พูดว่า “อันไหนที่ไม่จำเป็น”
ก็จะยกเลิก ทำให้มีคำถามที่ คสช. รวมทั้งวิษณุ เครืองาม อิดเอื้อนไม่ตอบเต็มปาก
ว่าจะมีอะไรเหลือตกค้างอีกบ้าง
แม้กระทั่งกรณีคำสั่ง คสช. ๑/๒๕๖๒ ล่องหน
ไม่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา แล้วปรากฏว่ามีกรรมการ ‘คัดกันเอง’ แม้ไม่ได้เสนอชื่อตัวเองตามข้อครหา
วิษณุแก้ต่างว่าเมื่อมีการเสนอชื่อใครที่เป็นกรรมการสรรหา
ที่ประชุมจะให้ผู้นั้นออกไปจากห้องเวลาประชุม
ผลจึงได้รายชื่อสำรอง #สวลากตั้ง
๕๐ คน นอกจากทหาร ๑๗ คนแล้วก็มีคนกันเองของ คสช.หน้าคุ้นๆ อยู่ไม่น้อย อย่าง พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. และดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ คนที่ไม่แคร์ว่าหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ตีพิมพ์บทบรรณิการแนะรัฐบาลสหรัฐอย่าเพิ่งกลับไปให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ไทย
บทความในนาม ‘กองบรรณาธิการ’ ของเดอะวอชิงตันโพสต์
อ้างถึงกฎหมายความช่วยเหลือต่างประเทศ ‘Foreign Assistance Act’ ที่ห้ามสหรัฐให้ความร่วมมือกับประเทศที่มีรัฐบาลจากการทำรัฐประหารยึดอำนาจ
จนกว่าประเทศนั้นจะได้กลับคืนสู่ระบอบประชิปไตยผ่านการเลือกตั้ง
รัฐบาลรัฐประหารของ
คสช.จึงได้จัดการเลือกตั้งเพื่อตบตานานาชาติว่าบัดนี้รัฐบาล คส๙.๒
มาด้วยวิถีเลือกตั้ง แต่ว่านานาชาติกลับรู้เช่นเห็นชาติว่าการเลือกตั้งของ
คสช.เต็มไปด้วยการโกง และการเอาเปรียบด้วยระเบียบกฎหมายที่คณะรัฐประหารสร้างขึ้น
บทบรรณาธิการวอชิงตันโพสต์ระบุไว้อย่างละเอียดถึงการที่กลโกงต่างๆ
คสช.ใช้กลับเข้ามาเป็นผู้ตั้งรัฐบาลอีกครั้งด้วยกลวิธี ‘ประชาธิปไตยจอมปลอมอันหยาบช้า’
เขาแจงลึกถึงข้อเท็จจริงหลายอย่างที่คนไทยสายสลิ่มไม่รับรู้ ทำเป็นฉลาดแกมโกงด้วยการแกล้งโง่
วอชิงตันโพสต์เอ่ยถึงการใช้เสียง
สว.ลากตั้ง ๒๕๐ คน บวกกับการคำนวณที่นั่งในสภาเพื่อตัดจำนวน ส.ส.ของฝ่ายตรงข้าม
และการแจกที่นั่งแก่พรรคจ้อย ๑๑ คน จนทำให้ฝ่าย คสช.ได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล
ดังนั้นถ้าหากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐยังจะให้การรับรองรัฐบาลใหม่
คสช.๒ ของไทยว่ามาจากการเลือกตั้งแล้วละก็
จะเป็นการลบล้างศักดิ์ศรีแห่งกฎหมายความช่วยเหลือต่างประเทศอย่างน่าเกลียดยิ่ง
มิใยรัฐบาลทรั้มพ์
ไม่รั้งรอที่จะสนับสนุนรัฐบาลที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างอียิปต์และซาอุดิอาราเบีย
“ถ้ารัฐบาลสหรัฐต้องการจะฟื้นฟูความร่วมมือทางทหารกับรัฐบาล
(ใหม่) ของไทย ควรที่จะกระทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
รอดูว่าจะมีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์สากลในด้านสิทธิมนุษยชนแล้วหรือไม่ หลักใหญ่อยู่ที่การมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”
การที่จู่ๆ ศาลทหารให้ประกันตัว สิรภพ กรณ์อรุษ
นักเขียนและกวีเจ้าของนามปากกา ‘รุ่งศิลา’
ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นเวลาใกล้ครบ ๕ ปี
ในข้อหาคดี ๑๑๒ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาศาลทหาร
แช่เย็นคดีนี้เพื่อเก็บตัวผู้ต้องหาไว้ในคุก เป็นอีกหนึ่งในกลเม็ดของ คสช.เพื่อตบตาชาติอารยะ
ในเมื่อคดีสิรภพนี้ศาลทหารกระทำการละเมิดหลักเกณฑ์สากลในเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างโจ่งแจ้งในช่วง
๕ ปีของรัฐบาล คสช.๑ นอกจากพิจารณาลับ แล้วยังสืบพยานโจทก์อย่างชักช้า พยานโจทก์
๑๐ ปาก สืบไปแค่ ๓
“การปล่อยตัวชั่วคราวเกิดขึ้นหลังจากที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนและสหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล
(FIDH) ได้แจ้งข้อมูลของสิรภพต่อคณะทำงานว่าด้วยการควบคุมตัวโดยพลการ
(Working Group on Arbitrary Detention) ซึ่งเป็นกลไกพิเศษภายใต้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
(UN Human Rights Council)”
คดีของสิรภพยังจะต้องถูกลากถูลู่ถูกังต่อไปอีกยาว
เช่นเดียวกับคดีพลเรือนที่ถูก คสช.ยัดใส่ศาลทหารอีกหลายราย แม้อย่างน้อยๆ ผู้ต้องหาได้ออกมาต่อสู้คดีโดยตนไม่ต้องถูกคุมขัง
คสช.เพียงสร้างภาพเพื่อบดบังความผิดในการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเผด็จการของตนเท่านั้น
การตบตาชาวโลกของเผด็จการ คสช. จะยิ่ง ‘เนียนนอก เหี้ย มใน’ ยิ่งขึ้นไปอีกหากรับบาล คสช.๒
สามารถอยู่ยงได้ตลอด ๔ ปีหรือ ๕ ปีจากนี้ไป