“เรื่องใหญ่นะคะ” ดังที่ สฤณี อาชวานันทกุล
นักวิชาการอิสระเตือนให้ “สื่อ ส.ส. และประชาชนต้องช่วยกันกดดัน” คสช.
ว่ามันจำเป็นอย่างไรถึงต้องส่งไม้ต่อให้ กอ.รมน. “จะยังดำเนินงานสานต่อไป...ประเด็นด้านความมั่นคงในทุกมิติที่ทำอยู่”
ต่อการที่ พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง
โฆษกกองในการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แถลงเรื่อง “ปรับโอนหน้าที่ของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
(คสช.) ให้กับ กอ.รมน. โดยมีการจัดโครงสร้างไว้รองรับแล้ว” อย่างบูรณาการ
“ประเด็นหลักๆ คือจะบูรณาการและขับเคลื่อนงานของกระทรวง
เช่น หนี้นอกระบบ, การจัดระเบียบสังคม
โดยใช้กฎหมายที่มีอยู่คือ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๕๑”
อีกทั้ง “จะปรับให้สอดคล้องตามแผนงานยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี” ด้วยในทุกมิติ
จากที่เคยมีงานวิจัยของ อจ.พวงทอง ภวัครพันธุ์
แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างค้นคว้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด
สหรัฐ เผยว่าหน่วยงาน กอ.รมน.ซึ่งก่อตั้งด้วยความช่วยเหลือของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เพื่อปฏิบัติการมวลชนต่อต้านคอมมิวนิสต์ยุคสงครามเย็นนั้น
ได้ถูกปรับขยายและเพิ่มอำนาจโดยคณะรัฐประหาร
และ คสช. ให้เป็นหน่วยงานของกองทัพเข้าไปกำกับแทบจะทุกมิติชีวิตของพลเรือน
ตั้งแต่การเมืองลงไปถึงในด้านความเป็นอยู่ ถึงขั้นมีเสียงสัพยอกว่า “กอ.รมน.เป็นพ่อของทุกองค์กร”
บัดนี้เป็นที่ยืนยันโดยโฆษก กอ.รมน.เองว่าจะรับช่วงงานด้านความมั่นคงของ
คสช.เอาไปทำต่อทั้งหมด มิใยใช้วาทกรรมอ้างว่า “เข้าไปขับเคลื่อนดูแลแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบ
และลดความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน”
แต่ตลอด ๕
ปีที่ผ่านมาได้รู้เช่นเห็นชาติกันว่า ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนไม่ได้ลดลงดังอ้าง
บ่อยครั้งการกระทำของ คสช.กลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้สังคมเสียด้วย งานของ
กอ.รมน.ที่รับช่วงมาจาก คสช. ไม่ต่างไปจากการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จคุมประพฤติประชาชนให้อยู่ในกรอบรัฐประหารเท่านั้น
ความเดือดร้อนอย่างหนึ่งซึ่งชาวบ้านยากจนโดนคุกคามในชีวิตความเป็นอยู่การทำมาหาเลี้ยงชีพ
ก็คือนโยบายทวงคืนผืนป่าของ คสช. ล่าสุดชาวบ้านซับหวาย จังหวัดชัยภูมิ ๑๔ ราย
เป็นหญิง ๙ ชาย ๕ ถูกศาลจังหวัดตัดสินจำคุกและปรับ บางคนโดนคุกถึง ๔ ปี
มูลนิธิมานุษยะและเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสานร่วมกันรณรงค์เรียกร้อง
โดยการสนับสนุนของพรรคอนาคตใหม่ ให้ทางการยุติดำเนินคดีกับชาวบ้านยากจนเหล่านั้น
พร้อมทั้งยับยั้งการขับไล่ไสส่งชาวบ้านออกจากพื้นที่ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ และยกเลิกการบังคับใช้คำสั่ง
คสช. ที่๖๔/๒๕๕๗ และ ๖๖/๒๕๕๗
ทั้งนี้ในเมื่อข้อเท็จปรากฏว่าชาวบ้านเหล่านั้นอาศัยพื้นที่ป่าทำมาหากินกันตามมีตามเกิด
ตั้งแต่ก่อนมีการประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติไทรทองเมื่อปี ๒๕๕๗ แล้ว ชาวบ้านที่ถูกทางการดำเนินคดีฐานบุกรุกรายหนึ่งเล่าว่า
“เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติได้เข้ามาที่บ้าน
และให้ครอบครัวของเราเซ็นเอกสารให้ที่ดินทั้งหมดแก่พวกเขา” นางสาวนริสรา ม่วงกลาง
ซึ่งศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาพร้อมกับกลุ่มผู้ต้องหาอีก ๗ คน ก่อนวันที่ ๓
กรกฎาคมนี้ เผยด้วยว่า
“พวกเขาบอกกับครอบครัวของเราว่าหากไม่เซ็นเอกสารจะไม่สามารถใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรต่อไป
และจะต้องชำระค่าเสียหายให้กับศาล แต่ตอนนี้พวกเขากําลังใช้เอกสารเหล่านี้เพื่อเป็นหลักฐานให้เราทุกคนติดคุก”
เพื่อนชาวบ้านที่ต้องคดีเดียวกันอีก ๖
คนนั้นถูกศาลอุทธรณ์ตัดสินเพิ่มโทษทั้งจำและปรับกันไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ ๑๕ พ.ค.
๔ มิถุนา ๕ มิถุนา ๑๒ มิถุนา และ ๑๘ มิถุนา ๒๕๖๒ โทษหนักเบาต่างกันตั้งแต่จำคุก ๕
เดือนไปถึง ๔ ปี และปรับแสนห้าไปถึงกว่า ๔ แสน
นอกนั้นชาวบ้านที่ถูกศาลสั่งจำคุกหลายคนเป็นผู้สูงอายุ
วัย ๖๐ ปีถึง ๗๑ ปี ซึ่งผู้ประสานงานเครือข่ายปฏิรูปที่ดินชี้ว่าเป็น “การใช้กฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ปาไม้และอุทยานแห่งชาติอย่างไม่เป็นธรรมกับชาวบ้าน”
และ “นี่ถือเป็นการละเมิดสิทธิของคนจนในการใช้ประโยชน์จากที่ดินและจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ที่ชาวบ้านต้องพึ่งพาเพือความเป็นอยู่ของพวกเขาเอง” ทั้งๆ ที่ “พวกเขาเป็นผู้ดูแลป่าไม่ได้ทําลายป่า”
เอมิลี่ ประดิจิต ผู้ก่อตั้งและผู้อํานวยการมูลนิธิมานุษยะ กล่าว
แล้วลองเทียบเคียงกับสิ่งที่
คสช.ประเคนให้กับพวกเจ้าสัวสิ บทความของ ดร.โสภณ พรโชคชัย
เมื่อปลายปีที่แล้วจากข่าว “ซีพีกว้านที่นา ๒ อำเภอ ขึ้นเมืองใหม่แปดริ้ว” (http//bit.ly/2wRI5ml) ดร.โสภณวิจารณ์ว่า
“ถ้าคิดให้ดี จะมีความต้องการเมืองใหม่หรือ
ตามแผนคร่าวๆ ในอีอีซี ระบุว่าจะมีเมืองใหม่ฉะเชิงเทรา พัทยา และระยอง
ซึ่งเมืองใหม่ฉะเชิงเทราก็กำลังจะได้รับการปั้นโดยกลุ่มเจ้าสัว ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือในเมืองใหม่เหล่านี้ต่อไปมหาอำนาจทั้งหลายโดยเฉพาะจีน
จะสามารถมาซื้อได้ทั้ง ๑๐๐% ภาษีก็ไม่ต้องเสีย”
มาถึงเมื่อต้นปีนี้โครงการเมืองใหม่ของซีพีที่เรียกว่า
‘สม้าร์ทซิตี้’ กลายเป็นปัจจัยในการปั่นราคาอสังหาริมทรัพย์
จากที่ดินพื้นที่เกษตรกรรมและเรือกสวนไร่นา ในเขตอำเภอบางคล้าและบางน้ำเปรี้ยว
จังหวัดฉะเชิงเทราไปเสียฉิบ
(https://mgronline.com/specialscoop/detail/9620000001023 และ https://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement2676.htm)
แล้วอย่างนี้ควรอย่างยิ่งที่จะต้องสนับสนุนการรณรงค์ของ
‘ไอลอว์’ ยกเลิกประกาศและคำสั่ง
คสช. ๓๕ ฉบับ ซึ่งขณะนี้ “ยกที่หนึ่ง เอาป้ายกับกล่องมาถ่ายภาพที่สภาฯ ได้สำเร็จ”
ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ทวี้ตแจ้ง “ยกที่สองและสาม
มีนัดกัน ๒๓-๒๔ นี้นะครับ https://ilaw.or.th/node/5295”
จุดประสงค์เป็นการนำรายชื่อผู้สนับสนุน
๑๓,๔๐๙ ราย ยื่นต่อสภาผู้แทนฯ
ดำเนินการในทางนิติบัญญัติตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
ที่ประชาชนสามารถมีสิทธิมีเสียงด้วยได้ต่อไป