“ทั้งโรคซ้ำ กรรมซัด วิบัติเป็น...”
รัฐไทยภายใต้ครอบครองของ คสช.๒ (และพวกพ้อง ‘เจ้าสัว’) กำลังทำให้มหาชนบักโกรกหนักกว่าเก่าแน่แล้ว
ล่าสุดจากคำของ น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผอ.สนค.จำใจเปิดเผยเรื่อง
“พาณิชย์กุมขมับส่งออกเดือน พ.ค. ทรุดหนักติดลบ ๕.๘%” ท่ามกลางความอ่อนไหวของค่าเงินบาทในตลาดโลก ‘แข็งโป๊ก’ ขณะเขียนนี่ “แตะ ๓๐ บาท/1USD วันนี้มาถึงจนได้”
ผู้ใช้นาม Myra Sangawongse โพสต์ทางเฟชบุ๊ค “ตายแล้ว ธุรกิจส่งออกพังยับเยิน...ไม่พอใจก็ไปอยู่ประเทศอื่น”
คนละเรื่องแต่บรรยากาศเดียวกันกับ ‘I แดง’ ไล่คนออกนอกประเทศอีกแระ “ใครไม่นึกถึงบุญคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์
ก็ไม่สมควรจะอยู่เมืองไทย”
‘โหน’ เป็นลิงคาบแก้วนั่นเชียว
แค่ตอบข้อซักถามเรื่องเด็กรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ไม่เอาทหาร
พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกใช้วิธีเอาชนะคะคานแบบเด็กเกเร หันไปถามนักศึกษาวิชาทหารว่า
“ใครไม่เอาทหารบ้างขอให้ยกมือขึ้น
ไม่มี นศท.คนไหนยกมือ” ถามคนที่สมัครเข้ามาหน้าไหนมันจะตอบว่าไม่
แล้วก็เลยเถิดไปถึงเรื่องสถาบันฯ สร้างบรรยากาศของการเข่นฆ่าเพื่อเจ้าเข้าอีก
โยงให้เป็นเรื่องร้ายซะงั้น ไม่เอาทหารหมายถึงไม่นึกถึงบุญคุณกษัตริย์
ปัดธ่อว์ มีปากสักแต่ว่าใช้พ่นเสียง
บ้านเมืองยิ่งกำลังขาดบุคคลากร แล้วยังจะไล่ให้ไปอยู่ที่อื่นเสียอีก
ราชกิจจาฯ เพิ่งประกาศกฎ ก.พ.ใหม่ให้ข้าราชการที่อายุครบ ๖๐ ปีแล้ว ยังคงทำงานต่อได้
อ้างว่า “เป็นการบรรเทาปัญหาความขาดแคลนบุคลากรในสาขาที่เป็นภารกิจสำคัญของรัฐ
และเพื่อรองรับปัญหาการเข้าสู่สังคมสูงวัย”
มิใยมีคนทักให้ดูเอา “ในขณะที่ นศ.จบใหม่ ตกงานจนยอดพุ่ง เกินครึ่งล้านคน”
ไม่ยักแก้ปัญหาบุคคลากรล้นตลาดบ้าง
เรื่องค่าเงิน นั่นเป็นดัชนีชี้วัดต่อสภาพเศรษฐกิจมหภาคด้านการส่งออก
อันเป็นปัจจัยสำคัญรายการหนึ่งของการฟื้นฟูความอยู่ดีกินดีในหมู่ประชาชน
หลังจากที่ คสช.ครองเมืองมา ๕ ปี ถลุงเงินคงคลังเป็นว่าเล่น
แล้วยังไม่เห็นผลอะไรสักอย่าง
“เดือน พ.ค. ๒๕๖๒ การส่งออกมีมูลค่า ๒๑,๐๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว ๕.๘% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน รวม ๕ เดือนแรกปี ๒๕๖๒ การส่งออกมีมูลค่า
๑๐๑,๕๖๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง ๒.๗%”
นั่นคือตัวเลขที่สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าเพิ่งแถลง
‘ยอมรับในที’ ว่าปีนี้ยังหดหู่
ขณะที่โทษเศรษฐกิจโลก เพราะ “ตลาดศักยภาพสูงหดตัว ๗.๐%
ซึ่งเกิดจากสงครามการค้าสหรัฐและจีน ทำให้เศรษฐกิจโลกยังคงอ่อนแอ”
แต่ความจริงที่ไม่อยากพูดถึงอยู่ที่ “การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตหดตัวที่ ๑.๔%”
โดยที่สินค้าเกษตรปรับดีขึ้นเล็กน้อย ใน ๕ เดือนแรกปีนี้โต ๐.๔% ขณะด้านอุตสาหกรรมยังตายหยังเขียด ตกต่ำลง ๒.๙%
แล้วยังประเด็นการตามใช้หนี้ ‘ดินพอกหางหมู’ จากการ ‘จ่ายและกู้’
ด้วยน้ำมือของผู้ชำนาญงาน รปภ. รู้ดีเรื่องเอาปืนจี้ รถถังไถ
ได้เป็นหัวหน้ายามไม่พอ ริจะเป็นหัวหน้าผู้บริหารด้วย ใช้อำนาจเด็ดขาดสั่งเพลิน
ทำบริษัทต่างชาติเสียหาย
หลังจากที่ศาลสูงสุดแคว้นนิวเซ้าท์เวลส์
พิพากษาคดีบริษัทคิงเกตฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่รัฐบาล คสช.๑
ใช้อำนาจขาดนิติธรรม สั่งปิดเหมืองทองชาตรีเมื่อปี ๒๕๕๙ ที่เขาได้สัมปทาน
เมื่อเขาทวงท้วง หัวหน้า รปภ.กลับทำเฉยเมย
คำตัดสินของศาลสูงออสเตรเลียให้บริษัทคิงเกตได้รับการชดใช้มูลค่าทั้งสิ้น
๘๒ ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียโดยแยกเป็นจ่ายสด ๑,๖๕๕.๕ ล้านบาทไทย
(ตามอัตราแลกเปลี่ยนแข็งโป๊ก 1 AUD=21.5 THB)
และโอนเข้ากองทุน TAFTA อีก ๔.๙๓ ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย
รายงานข่าวจาก https://smallcaps.com.au/kingsgate-wins-tafta-lawsuit-closure-chatree-gold-mine-thailand/
ระบุว่าค่าเสียหายเหล่านั้นบริษัทผู้ให้ประกันความเสี่ยงทางการเมืองจะต้องจ่ายภายในกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา
หนึ่งในนั้นคือบริษัทซูริคออสเตรเลีย
คำพิพากษาชี้ถึงความเสียหายที่บริษัทคิงเกตได้รับ
เกิดจากความผิดของประเทศไทยที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับออสเตรลีย
ในการยึดคืนเหมืองทองชาตรี “อย่างไม่มีนิติธรรม” แม้บริษัทคิงเกตพยายามเจรจา
รัฐบาลไทยกลับทำละเลยเฉยเมย
ซึ่งข้อตกลงกำหนดให้ทำการฟ้องร้องต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้
คำตัดสินศาลนิวเซ้าท์เวลส์ดังกล่าวจึงเป็นมาตรฐานต้นแบบ ให้ศาลอนุญาโตตุลาการใช้อ้างในการตัดสินความผิดของประเทศไทย
จากการฟ้องร้องของบริษัทผู้ให้ประกัน และ/หรือบริษัทคิงเกตเองด้วย