วันอังคาร, มิถุนายน 25, 2562

คุณคิดเห็นอย่างไรที่ภายหลัง “แรมโบ้อีสาน” ย้ายซบพรรคพลังประชารัฐ ก็ไม่ถูกดำเนินคดีอาญาล้มประชุมผู้นำอาเซียน



...

วันนี้ผมไปที่ศาลจังหวัดพัทยา ทำหน้าที่จำเลยที่ 1 ร่วมกับคุณจตุพร คุณวีระกานต์ นพ.เหวง และคุณอดิศร จำเลยที่ 2 - 5 ในคดีเกิดเหตุระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อปี 2552

การชุมนุมคราวนั้นพวกเราเป็นจำเลยในศาลอาญา รัชดาแล้ว อยู่ในขั้นตอนการนัดสืบพยาน แต่เจ้าหน้าที่เอาพยานหลักฐานเดิมทั้งหมดมาฟ้องที่พัทยาอีกครั้ง จึงร้องต่อศาลว่าเป็นการฟ้องซ้ำหรือไม่ ซึ่งต้องรอคำวินิจฉัย

คดีที่พัทยามีผู้ต้องหาในชั้นพนักงานสอบสวนอีกคน คือ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ แรมโบ้อีสาน แต่วันนี้อัยการบอกว่านำตัวบุคคลดังกล่าวมาฟ้องไม่ทัน คดีจึงขาดอายุความ !??!

ด้วยความสัตย์จริงผมไม่ติดใจหากใครที่เคยต่อสู้กันมาจะหลุดพ้นคดี เพราะพี่น้องผมทั้งแกนนำและมวลชนเป็นกลุ่มคนที่ต้องคดีความ และถูกกระทำสารพัดรูปแบบหนักหนากว่ากลุ่มใดๆ แต่คำอธิบายว่าขาดอายุความ(ช่วงกลางเดือน เม.ย. 62)เพราะนำตัวมาฟ้องไม่ได้ในคดีนี้ เป็นเรื่องที่ยังเข้าใจยาก

ผู้ต้องหาทั้ง 6 คนเป็นผู้สมัครส.ส.ต่างพรรค ยกเว้นคุณจตุพรซึ่งถูกตัดสิทธิ์แต่ก็เคลื่อนไหวในสนามเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง หลังการเลือกตั้งแต่ละคนยังปรากฏตัวในที่สาธารณะ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่มีเพียงคนเดียวที่นำตัวมาฟ้องไม่ได้

ผม คุณวีระกานต์ นพ.เหวง เป็นผู้สมัครพรรคไทยรักษาชาติ คุณอดิศร พรรคเพื่อไทย คุณจตุพร เป็นกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ส่วนคุณสุภรณ์ ย้ายจากพรรคเพื่อไทยไปเป็นผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ มีข้อแตกต่างกันทางคดีอย่างไรหรือไม่

เคยมีกระแสข่าวว่าคนบางกลุ่มใช้ประเด็นช่วยเหลือเรื่องคดีความ ชักชวนส.ส.ให้ย้ายไปอยู่พรรคที่ตั้งขึ้นใหม่ ไม่ทราบว่าคดีที่ผมพูดถึงอยู่มีตื้นลึกหนาบางเกี่ยวข้องอย่างไร

ยิ่งเห็นกรณีคุณอุตตม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่เกี่ยวข้องกับคดีเงินกู้ธนาคารกรุงไทย แต่ไม่ถูกฟ้องดำเนินคดีเหมือนกรรมการคนอื่นๆก็ยิ่งไปกันใหญ่

สังคมใดที่กระบวนการยุติธรรมถูกใช้เป็นเงื่อนไขต่อรองผลประโยชน์ต่างๆได้ จะพูดถึงประชาธิปไตยและสันติสุขของประชาชนในมิติไหน

ย้ำอีกทีว่าคุณสุภรณ์พ้นคดีผมไม่อิจฉา ไม่คาใจ

เพียงแต่สังเวชใจกับคำว่าอภินิหารทางกฎหมาย และปาฏิหารย์แห่งหลักนิติธรรมที่เกิดขึ้นเท่านั้น


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ