วันพฤหัสบดี, มิถุนายน 27, 2562

มาตรฐาน 'เดี่ยว' ศาลรัฐธรรมนูญคดีหุ้นสื่อ ต่างจากมาตรฐานศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง

สภาเปิดเต็มพิกัดแล้ว ให้สมาชิกอภิปรายกันอึกทึก แต่ล้วนเป็นพรรคฝ่ายค้านทั้งนั้น พรรค ว่าที่รัฐบาลประชารัฐโหรงเหรง กระทั่งพรรคร่วมฯ ยังทำเหนียม จนโดน ส.ส.เพื่อไทยเหน็บว่าพวกเขารอ ม.๔๔ หมดก่อน

คสช.ยืนหยัดรัฐบาล ๑ ไม่ยอมไปต่อ ๒ (แพลมๆ ว่าให้รอกลางกรกฎา) ช่วงนี้ยังคงกระตุกใบไม่ยั้ง มันมือรายการถลุงงบประมาณ ไหนจะแจกบัตรสวัสดิการงวด ๓ ตามด้วยอัดงบฯ เพิ่มโครงการบ้านมั่นคงอีก ๖ พันกว่าล้าน


กระทู้ต่างๆ บานเบอะที่ฝ่ายค้านขออภิปรายไม่มีคนตอบ อย่างเรื่อง “การก่อสร้างถนนสาย ๒๒๖ เรื่องมาตรการการแก้ปัญหาข้าราชการครู และเรื่องการขุดลอกอ่างเก็บน้ำบ้านเกาะแก้ว” ทั้งสามกระทู้ของครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย

ซ้ำทั่นประธานฯ ชวน หลีกภัย แก้ตัวแทนรัฐมนตรีที่ขอเลื่อนตอบกระทู้ ครูมานิตย์ก็เลยต้องบ่น “ทั่นประธานฯ ครับ “ตั้งแต่ทำหน้าที่เป็นผู้แทนฯ มา ไม่เคยสับสนเท่ายุคนี้ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ในรัฐบาลไหน ใครเป็นนายกฯกันแน่”

 
ทั่นประธานฯ ก็อ้างสิทธิพิเศษ คสช.ในบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖๔ ต้องรอจนกว่าเขาจะมาเอง จน จาตุรนต์ ฉายแสง ตั้งข้อสังเกตุ “ความจริงคงไม่ได้ติดภารกิจสำคัญอะไรหรอก ครม.ชุดนี้เขาไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภานี้ไว้ เขาไม่มีความรับผิดอะไรต่อสภานี้ เขาจึงไม่มา มาก็จะตอบคำถามยากๆ ไม่ได้”

ทว่า เพื่อไทย บอกไม่รอละ “การประชุมสภาในสัปดาห์นี้ มีการบรรจุญัตติด่วนเรื่องปัญหาพืชผลการเกษตรราคาตกต่ำ...แม้จะยังไม่มีรัฐบาลใหม่และรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ แต่ความทุกข์ยากของพี่น้องเป็นเรื่องที่รอไม่ได้” (ตามแถลงการณ์ของพรรคจากโพสต์ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ)

ส่วนพรรคอนาคตใหม่ไปก่อนแล้ว รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมกับอีกสาม ส.ส.ประกาศ “เสนอญัตติด่วนขอตั้งกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบการใช้อำนาจ คสช.” พาดพิงถึงหัวหน้า คสช.ว่ายังคงใช้อำนาจมาตรา ๔๔ ไม่หยุดหย่อน

เหตุนั้น “พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงมีความประสงค์อยากตั้งกรรรมาธิการเพื่อวินิจฉัยผลกระทบดังกล่าว” เอากันตั้งแต่รัฐประหาร มิถุนายน ๒๕๕๗ มาเลย ว่ามีการข่มขู่คุกคามเกิดขึ้นต่อเนื่อง ยกตัวอย่างกรณี เอกชัย หงส์กังวาน และ จ่านิว สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ ถูกทำร้ายร้างกาย

ส.ส.อนาคตใหม่อีกคน ปิยบุตร แสงกนกกุล อภิปรายในวาระถึงเรื่องการตั้งงบประมาณให้เบี้ยประชุมผู้พิพากษา ว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมากเกินไป ในการประชุมแต่ละครั้งของคณะผู้พิพากษา “ประธานได้ ๑ หมื่นบาท องค์ประชุมได้ ๖-๘ พันลดหลั่นกันไป”

เขาอ้างว่าเมื่อต้นปี ๒๕๖๑ มีการประชุมวิปรัฐบาลในเรื่องนี้โดยให้เจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณไปชี้แจง สำนักงบฯ ไม่เห็นด้วยว่าเป็นการสิ้นเปลืองมากเกินไป อีกราว ๒๐๗ ล้านบาทต่อปี ซ้ำซ้อนกับที่ผู้พิพากษาได้รับเงินเดือนสูงเป็นแสนๆ กันอยู่แล้ว

“ยิ่งกว่านั้นมันเกิดความไม่เสมอภาคกับส่วนราชการต่างๆ” แม้กระทั่งตัวเลข ๑ หมื่นนี่เท่ากับครึ่งหนึ่งของเงินเดือนของคนจำนวนมาก เช่น พนักงานบริษัทได้แค่เดือน ๑ หมื่นถึง ๒ หมื่นบาท ไม่นับว่าพวกผู้พิพากษามีเงินเดือน “แสนกว่าบาท พร้อมสวัสดิการ พร้อมรถประจำตำแหน่ง เพียงพอแล้ว”


นอกจากนี้ปิยบุตรยังได้แถลงถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องของกลุ่ม ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ๖๖ คน ที่ส่งผ่านประธานรัฐสภา กรณีมี ส.ส.พรรคต่างๆ ๔๑ คนถือหุ้นสื่อ ขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๑๐๑(๖) ประกอบมาตรา ๙๘(๓) หรือไม่

ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณา ๓๒ ราย และปล่อย ๙ ราย มีคนเด่นๆ ที่รอด เช่น กรณ์ จาติกวนิช และ ปารีณา ไกรคุปต์ ด้วยเหตุว่าในหนังสือบริคณห์สนธิ (แบบ บอจ.) ระบุเป็นการจัดพิมพ์หนังสือแบบเรียน ไม่เข้าข่าย สื่อโดย ๓๒ รายที่ศาลรับพิจารณาไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่เหมือนกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ปิยบุตรชี้ให้เห็นถึงประกาศข่าวของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มี อนึ่งวรรคสุดท้ายพาดพิงถึงความต่างกับคดีของธนาธรว่า ที่ไม่สั่งพักงาน ๓๒ ส.ส.เพราะในคำร้องไม่ได้มีแบบ สสช.๑ และแบบนำส่งงบการเงินของบริษัทแนบไปด้วย จึงยังไม่อาจชี้ชัดว่าผู้ถูกร้องผิดจริง

แต่กับคดีของธนาธร ได้ผ่านการไต่สวนของ กกต.แล้ว พร้อมด้วยแบบแสดงกิจกรรมการเงิน ทำให้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ปิยบุตรชี้อีกว่านี่เป็นมาตรฐานที่ศาลรัฐธรรมนูญ (เพิ่ง) กำหนด (โดยปริยาย) ว่าการยื่นร้องเรียนเรื่องนี้ต้องผ่าน กกต.ก่อน

อันต่างจากมาตรฐานที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้ใช้ตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งของสองผู้สมัครก่อนหน้านี้ (คดี ภูเบศวร์ เห็นหลอด และ คมสัน ศรีวนิช) ซึ่งพิพากษาจากเจตนาหรือวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ


นั่นละ คงจะเป็นการลุ้นเรื่องมาตรฐานศาลรัฐธรรมนูญว่าเชื่อมือได้ไหม จะไม่สั่งให้ ส.ส.ที่ถูกร้องว่าถือหุ้นสื่อหยุดปฏิบัติหน้าที่ พรรค คสช.จึงได้โหรงเหรงไม่ยอมไปสภากัน วันนี้รู้แล้วว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ยั่นใดๆ ใช้มาตรฐานเดี่ยวของตนเอง กลางเดือนหน้าคงได้เห็นพลังประชารัฐคึกคัก