ถ้าเค้าไม่ทวงก็คงไม่รู้กันนะนี่ ‘พอนดริ๊ฟ’ ทำกระสุนในร่างผู้ตายเคราะห์ร้ายหาย
เลยทำให้คนร้ายลอยนวลจนกระทั่งบัดนี้ กรณีทหารยิงอาสาสมัครตาย ๖ ศพในเขตอภัยทานวัดปทุมวนาราม
ตอนสลายชุมนุมปี ๕๓
คนที่ทวงเป็นอาสาสมัครที่รอดตายวันนั้น
ให้การว่ารู้เห็นเพื่อนตายต่อหน้า เลยถูกยัดข้อหาส่งขังคุกถูก ‘ปิดปาก’ อยู่นานหลายปี จนเมื่อคุณหญิงพรทิพย์
โรจนสุนันท์ ได้เป็นวุฒิสมาชิก ‘ตู่ตั้ง’ เลิดมาก เที่ยวสั่งสอน ส.ส.หญิงที่มาจากการเลือกตั้งเรื่องการแต่งกาย
หาว่าไม่ไว้ทุกข์ประธานองคมนตรี
ถือว่าไม่จงรักภักดีต่อกษัตริย์ ทำยังกะประธานฯ คนนี้เคยเป็นที่โปรดปรานเสียนักละนี่
“ณัฎฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน
อดีตพยาบาลอาสาในเหตุการณ์คนเสื้อแดงถูกสลายการชุมนุมเมื่อเดือน พ.ค. ๒๕๕๓ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวกรณีการเสียชีวิตของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด
หรือน้องเกด
“กระสุนสองนัดในร่างน้องเกดหายไปไหน...แหวนยืนมองคุณจากวินาทีแรกจนวินาทีสุดท้ายก่อนเคลื่อนศพ
คุณปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ได้เอาไป เรามีคลิป
เรามีหลักฐานว่าคุณสั่งให้เอาพลาสเตอร์มาแปะอีสองเม็ดนี้ไว้”
แต่กลับถูกข้อหาคดีขัดอำนาจรัฐประหารร้ายแรง
“คุกมันไม่ได้ทำไห้ความเป็นคนของแหวนลดลง
แต่กลับตรงกันข้ามมันทำไห้แหวนมองโลกได้กว้างขึ้น...บางครั้งแค่ยืนลำพังยังเซ
ไม่มีอะไรจะเสียและหมดสิ้นศรัทธาในขบวนการยุติธรรมแบบไทยๆ”
(จากโพสต์ของ
Natthatida Meewangpla June 20 at
8:51 AM https://www.facebook.com/photo.php?fbid=236251420665266&set=a.109772776646465&type=3)
เรื่องอย่างนี้บ่งบอกอะไรไม่มากไม่น้อยไปกว่า
“อ้อ ยิงเสร็จตามมา ‘เก็บ’ หลักฐาน เพราะอย่างนี้นี่เองน้องแหวนถึงได้ถูกยัดคดีติดคุกติดตะราง” (Voteจ้า @iamasiam14) กาลเวลาและอำนาจเบ็ดเสร็จไม่สามารถหมกเม็ดความจริงได้
นับแต่นี้ไป ผล ‘เวร’ ของฝ่ายทหารที่บรรดาตัวนำยึดอำนาจได้ครองบ้านครองเมืองมาแล้ว
๕ ปี และกำลังต่ออีก ๔ ปี ตามหลอนไม่มีลดละ ดังเช่นอีกคดี ในกรณีที่มีการจับกุมตัวผู้ลี้ภัยไทยสามคนในประเทศเวียดนามส่งกลับไทยเมื่อต้นปีนี้
ผู้ลี้ภัยทั้งสามคือ สยาม ธีรวุฒิ ชูชีพ
ชีวะสุทธิ์ ‘ลุงสนามหลวง’ และกฤษณะ ทัพไทย ถูกทางการเวียดนามส่งตัวให้ประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม
๒๕๖๒ แต่จนบัดนี้ญาติพี่น้องยังไม่สามารถหาพบว่าทั้งสามอยู่ที่ไหน
เชื่อกันว่าน่าจะถูกสังหารโหดเช่นเดียวกับกรณี สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และสองสหาย
ทีมลุงสนามหลวงหลบหนีจากที่ลี้ภัยในประเทศลาวเข้าไปยังเวียดนามเมื่อปลายปีที่แล้วหลังจากมีเหตุเชื่อว่าทีมล่าสังหารจากประเทศไทยเข้าไปตามเก็บกลุ่มผู้ลี้ภัย
ปรากฏการเสียชีวิตปริศนาของผู้ลี้ภัยไม่น้อยกว่า ๘ คน ตั้งแต่กลุ่ม ‘โกตี๋’ ‘ดีเจซุนโฮ’ ไปถึง ‘อาจารย์สุรชัย’
ซึ่งทางองค์การสิทธิมนุษยชนนานาชาติ ‘แอมเนสตี้อินเตอร์แน้ทชั่นแนล’ เพิ่งมีหนังสือถึงทางการไทยในฐานะประธานอาเซียนปัจจุบัน
เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดครั้งที่ ๓๔ ช่วง ๒๒-๒๓ มิ.ย.นี้ในกรุงเทพฯ
สืบเนื่องกับข้อเรียกร้องให้จัดการสอบสวนเรื่องการลักพาตัวนักข่าวเวียดนามส่งกลับไปให้รัฐบาลฮานอย
สำนักเลขาธิการใหญ่ ‘A
I’ ณ กรุงลอนดอนชี้ว่าการลักพาตัวนี้กระทำโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย
อันเป็นส่วนหนึ่งของการ “แลกเปลี่ยนตัวบุคคลฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
และบุคคลที่หลบหนีการประหัตประหาร ซึ่งเป็นความร่วมมือที่น่ารังเกียจของรัฐบาลต่างๆ
ในภูมิภาค”
นิโคลัส เบเคลัง ผู้อำนวยการภูมิภาคของ ‘เอไอ’ ระบุว่าการ
“แลกเปลี่ยนตัวบุคคลที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองซึ่งเป็นเป้าหมายให้แก่กันและกัน
ถือเป็นการละเมิดอย่างชัดเจนต่อกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ
ซึ่งคุ้มครองสิทธิของผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัย”
โดยที่เอไอชี้ชัดว่ากรณี เจือง ซุย เญิ๊ต (Truong Duy Nhat) นักข่าวเวียดนามที่หายตัวไปในกรุงเทพฯ
ตั้งแต่วันที่ ๒๖ ม.ค.นั้นขณะนี้อยู่ในการควบคุมตัวของทางการเวียดนาม
ทว่าผู้ลี้ภัยไทยสามคนกลับเป็นการ ‘อุ้มหาย’ สาบสูญ