เห็นจะจริงดังที่เดวิด สเตร็คฟัส วิเคราะห์การเมืองการปกครอง
โดยกินความไปถึงสังคมโดยรวมของไทยภายใต้ คสช. ว่า ‘absurd’ ซึ่งนักวิชาการอิสระชาวอเมริกันผู้ไปปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในภาคอีสานจนพูดไทยคล่องคนนี้ให้ความหมายว่า
“ผิดเพี้ยน” หากแต่ในที่นี้อาจแปลตรงตัวได้ด้วยว่า ‘เหลวไหล’
ในบทสัมภาษณ์ที่ให้กับพันธวัฒน์ เศรษฐวิไล
ใน ‘101’ เดวิดพูดถึงความผิดเพี้ยนทางการเมืองไทยว่า
เป็นการเมืองที่ไม่มีการเมือง “เพราะแนวคิดในการปกครองของ คสช.
ได้ยึดความเป็นสาธารณะ (publicness) ในสังคมไทยไปแล้ว”
สังคมไทยไม่มีพลวัตอีกต่อไป มีแต่ “ปรากฏการณ์บางอย่างที่ต่อเนื่องแต่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ที่ คสช. ‘แสดง’ ให้ประชาชนรับรู้รับชมเท่านั้น” และ “พูดอีกแง่หนึ่งคือสังคมไทยถูกแช่แข็งแล้ว”
เขาเปรียบเปรยไว้น่าฟัง “เปรียบเหมือนการแสดงละครเรื่องประชาธิปไตย
โดยมีคณะละครตลกอันธพาลขึ้นมายึดเวที แล้วทำการแสดงเอง...ยิ่งไปกว่านั้น
พวกเขายังล็อคประตูโรงละคร
แล้วบังคับให้ผู้ชมนั่งดูการแสดงอันน่าเบื่ออย่างทรมานต่อไปเรื่อยๆ
โดยไม่รู้ว่าเรื่องจะจบตอนไหน”
มิหนำซ้ำปัญหาอยู่ที่ “การกระทำของ คสช. ไม่เพียงแต่เป็นการทำตามอำเภอใจ
(act arbitrarily) อย่างเดียว
แต่เป็นการกระทำแบบไร้จุดหมาย (act randomly) ด้วย”
ดังหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา แสดงปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้วเดินชมสยามสแควร์ มีนิสิตสามคนไปยกป้ายข้อความว่า
“ประชาชนรักลุงตู่ (เผด็จการ)” โดยขีดฆ่าคำ ‘ลุงตู่’ อันทำให้หัวหน้าคณะทหารที่ยึดอำนาจมาเกือบสี่ปีไม่พอใจ
พูดประชดว่า “เวลาประเทศเสียหายแล้วออกมาด้วยนะ”
น.ส.วิรัลพัชร รอดแก้ว หรือ ‘หนูดี’ วัย ๒๑ ปี นิสิตชั้นปีที่ ๓ คณะรัฐศาสตร์ หนึ่งในผู้ชูป้ายให้สัมภาษณ์ตอบโต้นายกรัฐมนตรีจากการยึดอำนาจว่า
“ก็มันถึงเวลาแล้วที่จะออกมา ก็กำลังทำอยู่”
นิสิตคนอื่นที่ร่วมชูป้ายข้อความเสียดสีหัวหน้า
คสช. ก็ตอบโต้ในแบบเดียวกัน แม้กระทั่งนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษาชั้นปี ๑
คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ซึ่งออกมาให้การสนับสนุนเพื่อนต่างสถาบันด้วยการร่วมเดินทางไปร้องเรียนต่อสำนักข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ
ว่า คสช. “ใช้อำนาจโดยมิชอบ เป็นความพยายามปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นและเป็นการคุกคามนิสิตนักศึกษาอย่างร้ายแรง”
เนื่องจากมีการส่งเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจไปก่อกวนครอบครัวของนิสิตเหล่านี้
มารดาของหนูดีในต่างจังหวัดจู่ๆ ถูกเจ้าหน้าที่ไปหาถึงบ้านโดยไม่แจ้งล่วงหน้า
พยายามซักถามตั้งข้อสงสัยว่ามีใครกลุ่มการเมืองใดอยู่เบื้องหลัง ส่วนนายธนวัฒน์
วงศ์ไชย รองประธานสภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็มีตำรวจไปถามหาที่คณะ แล้วยังคอยติดตามและถ่ายภาพเขาหลายครั้ง
เขาเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงเจ้าหน้าที่ความมั่นคงว่า
“ทำเช่นนี้ ถือว่าเป็นการรุกล้ำและละเมิดความเป็นส่วนตัวของผมเป็นอย่างมาก...ผมเพียงแค่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์บนพื้นที่อันคับแคบในประเทศอันกว้างใหญ่ที่กำลังถูกกดขี่โดยเผด็จการทหาร”
สเตร็คฟัส นักวิจัยการเมืองการปกครองที่เข้ามาอยู่อาศัยและค้นคว้าในประเทศไทยกว่า
๒๕ ปี ชี้ให้เห็นปัญหาน่าห่วงของสังคมไทยภายใต้อำนาจเผด็จการทหารว่า การพูดบิดเบือนกล่าวหาโจมตีรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่พวกตนโค่นล้ม
ทำให้ คสช.หลงตัวว่าตน ไม่เคยโกหก “เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งประหลาดๆ
ที่เขาพูดและทำเป็นเรื่องจริง”
ดังเช่นเมื่อโฆษกรัฐบาลปฏิเสธอย่างหน้าไม่อายว่า
ที่มีข่าว คสช.จัดทำสติ๊กเกอร์ไลน์เพื่อการประชาสัมพันธ์เชิงรุก
เป็นวงเงินจากภาษีอากรของประชาชน ๗.๓ ล้านบาท “โฆษกอ้างเพื่อการประชาสัมพันธ์เชิงรุก”
แต่พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด
กลับปฏิเสธน้ำขุ่นๆ ว่าไม่รู้ ไม่เกี่ยว เป็นเรื่องที่ข้าราชการประจำทำกันเอง จึงไม่เพียงเสียงตอบโต้แสบคัน
“เจ้าชู้ต้องไก่แจ้ ตอแหลต้องไก่อู” (จากทวี้ต WiPa. @WiPa_ng)
แล้วยังมีนักกิจกรรมสมัครเล่น มือเบสวงภูมิจิต และเจ้าของแฟนเพจ ‘BENDA5000’ บอม-ธิตินันท์ จันทร์แต่งผล เขียนการ์ตูนสไตล์ไลน์ล้อเลียนประยุทธ์ในโครงการสติ๊กเกอร์
(ตำน้ำพริก) ละลายแม่น้ำนี้
ความเหลวไหลในการกระทำของรัฐบาล คสช. ไหลไม่หยุด ล่าสุดช่วงพี้ควันแรกเทศกาลสงกรานต์นี่เอง
ผู้ขับขี่ยวดยานกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านภาคอีสาน ได้เห็นพล.ต.อ.ศรีวราห์
รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. หยิบนกหวีดมาเป่าปี๊ดปี๊ด
โบกรถร่วมกับตำรวจจราจรบนถนนมิตรภาพอย่างขึงขัง
วันสุดท้ายของสงกรานต์ ทั่นรองฯ
น่าจะไปตั้ง ‘ด่านลอย’ ที่ไหนสักแห่งด้วยนะ
ไหนๆ จะลงลุยงานภาคสนามทั้งที ต้องทำให้ครบวงจร นอกจาก ‘สร้างภาพ’ เอาหน้า แล้วจะขาด ‘เก็บส่วย’
ไปได้ไง