บ้านนี้เมืองนี้นอกจากมีทหารยึดอำนาจมาครอง
แล้วใช้กฎหมายกดขี่ข่มเหงทางการเมือง ต่อนักประชาธิปไตยผู้ต่อต้านและเห็นต่างแล้ว
ยังมีตุลาการศักดิ์ศรีสูงส่งยิ่งกว่าคนทั่วไป ใช้อำนาจกฎหมายข่มขู่ชาวบ้านที่รักและปกป้องสภาพแวดล้อมธรรมชาติด้วย
ต่อกรณีที่มีการรณรงค์คัดค้านโครงการก่อสร้างบ้านพักตุลาการอย่างหรูในพื้นที่ดอยสุเทพบริเวณ
๑๔๗ ไร่อันเป็นแหล่งสันปันน้ำ
ที่แม้จะมีการขีดเส้นเขตแดนป่าสงวนแห่งชาติออกนอกเหนือบริเวณดังกล่าว
ก็มิอาจลบล้างความจริงได้ว่า เป็นการลุกล้ำทำร้ายระบบนิเวศของป่าธรรมชาติอย่างมิควร
แต่นั่นมิอาจยับยั้งการอ้างกฎหมายเพื่อเอารัดเอาเปรียบจากอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาคนหนึ่ง
เมื่อนายชูชาติ ศรีแสง
ได้เขียนข้อความทางเฟชบุ๊คขู่จะฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งต่อสำนักข่าว
‘เวิร์คพ้อยท์’ หาว่าเสนอข่าวทำให้ตนเสียหายและเป็นเท็จ
นายชูชาติผู้นี้มีประวัติทำกิจกรรมสนับสนุนการปิดกรุงเทพฯ
สร้างความปั่นป่วนจนเป็นช่องทางให้ทหารเข้ามายึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ครั้นเมื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้นำสูงสุดของ กปปส.
ประกาศดำเนินงานพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนให้หัวหน้าคณะรัฐประหารที่ผันตัวเองมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ได้กลับมาดำรงตำแหน่งปกครองประเทศอีกครั้งด้วยเงื่อนงำที่แฝงในรัฐธรรมนูญฉบับทหารร่าง
ที่เรียกกันว่า ‘นายกฯ คนนอก’ นายชูชาติจึงไม่ต่างอะไรกับ ‘ลูกไล่ คสช.’
กับการที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายมาก่อนโดยอาชีพ
ซึ่งรายได้เบี้ยหวัดเงินเดือนมาจากเงินภาษีอากรที่เก็บจากประชาชน
ทำให้ไม่เพียงรู้ทางหนีทีไล่ในการใช้ประโยชน์จากกฎหมายเพื่อตนเอง
หากแต่รู้วิธีใช้กฎหมายเพื่อให้ผู้อื่นเจ็บร้อน เฉกเช่นเดียวกับพวกทหาร คสช.
นายชูชาติอ้างว่า “ข่าวเวิร์คพอยท์ทำให้ข้าพเจ้าและตุลาการศาลยุติธรรมได้รับความเสียหายมาก
เพราะมีผู้เข้ามาให้ความเห็นเป็นจำนวนมากด่าข้าพเจ้าและตุลาการทั้งหมด
ด้วยถ้อยคำที่ดูหมิ่นเหยียดหยามและหยาบคาย ทั้งในเฟซบุ๊ค Workpoint
News - ข่าวเวิร์คพอยท์ และในเฟซบุ๊คส่วนตัวของข้าพเจ้า”
แทนที่อดีตผู้พิพากษาจะพึงคำนึงถึงข้อเท็จจริงแห่งกรณี
ว่าคนที่เข้าไปด่านั้นเนื่องจากทั่นดันโพสต์ข้อความก่อนหน้านี้เรื่อง “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ก่อสร้างวิทยาเขตสะลวง-ขี้เหล็กในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ใช้เนื้อที่มากถึง ๖,๒๓๕ ไร่เศษ ไม่เคยได้ยินข่าวว่าผู้ใดคัดค้านหรืออ้างว่ารุกล้ำป่า”
นายชูชาติใช้ความเคยตัวจากการทำมาหากินในตำแหน่งผู้บังคับใช้กฎหมายมาอ้างว่าไฉน
“สำนักงานศาลยุติธรรมก่อสร้างอาคารศาลอุทธรณ์ ภาค ๕ และบ้านพักตุลาการ
ใช้เนี้อที่เพียง ๑๔๗ ไร่เศษ” จึงได้ “กลับมีผู้คัดค้านซึ่งรวมทั้งสภาคณาจารย์ฯ
โดยอ้างว่ารุกล้ำป่า” นั้น
ข้อกฎหมายที่ทั่นตุลาการอ้างว่าเนื่อที่กว่า
๖ พันไร่ของราชภัฏเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ แต่เนื้อที่ ๑๔๗
ไร่ของบ้านพักตุลาการบนดอยสุเทพไม่ได้อยู่ในป่าสงวน
ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่าตุลาการลุกล้ำทำลายระบบนิเวศของแหล่งต้นน้ำดอยสุเทพได้
การดึงดันของนายชูชาติที่จะสร้างความชอบธรรมแก่การกอบโกยผลประโยชน์ส่วนเกิน
หรือ ‘perks’ โดยนำเอาหลักกฎหมายมาตีวงรายล้อมใช้จับผิด
เป็นลักษณะเดียวกับที่คณะทหารใช้ข้อกฎหมาย (ซ้ำร้าย
ส่วนใหญ่เป็นกฎหมายที่เขียนเองโดยหลักเผด็จการ)
มากดขี่ประชาชนที่เรียกร้องสิทธิเสียงของตนเอง
การขู่จะทำการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อเวิร์คพ้อยท์และคนทั่วไป
ที่เห็นว่าการสร้างบ้านพักบนดอยสุเทพของตุลาการเป็นการทำลายระบบนิเวศและยังเอาเปรียบประชาชนอื่นๆ
ไม่ได้มีคุณค่าอันใดมากไปกว่าการแสดงวิสัยเผด็จการ อันจำเป็นที่คนทั่วไปต้องต่อต้าน
แม้กระทั่งนายไพศาล
พืชมงคล (ตำแหน่ง กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ผู้สนับสนุน
กปปส. อีกคน จะพยายามหนุนสร้างความชอบธรรมให้บ้านตุลาการ ‘ป่าแหว่ง’ ด้วยการประโคมว่า
“ขบวนการเอาคืนศาลยิ่งรณรงค์ยิ่งจ๋อย
ชาวบ้านรู้ทัน...อยู่นอกเขตอุทยาน ไม่มีอะไรผิดเลย”
นั้นก็เป็นเพียงลูกไล่สอพลอนายไปวันๆ