วันเสาร์, เมษายน 28, 2561

พลังดูดนี่หรือเป็นครรลองการเมืองของไทยที่ คสช. ถือปฏิบัติ


สามหมื่นคน-สี่หมื่นล้านบาท แห่งพลังดูด กับ ๓๕๐ ล้าน ประชาชนช่วยกันระดมทุนพรรค และชูสามนิ้วเรียกหาประชาธิปไตย อันไหนกันแน่เป็น ครรลองการเมืองที่ควร

เมื่อวาน (๒๗ เมษา) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บ้วนภาษาไทยออกมาในรายการศาสตร์พระราชาว่า การ ดูด ส.ส.จากพรรคอื่นมาเป็นเสียงสนับสนุนตน นั้นมีความเป็นมายาวนานแล้ว

“เป็นครรลองประชาธิปไตยของไทยตลอดมา” ไม่ใช่แค่ คสช. “หากมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญเช่นเดียวกันแล้ว ก็น่าจะช่วยกันทำงานได้นะ”


งานที่ประยุทธ์พูดถึงนี่ก็คือการรวบบ้านครองเมืองต่ออีกอย่างน้อยหนึ่งสมัยสี่ปี หลังจากที่อยู่ไปจนครบห้าปี และพวกที่ถูกดูดนอกจากนามสกุล คุณปลื้มแล้วน่าจะมีก๊วน ชิดชอบกับก๊ก เทพสุทินและอีกบางยี่ห้อ ตามมา

สองวันก่อนรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เจ้าพ่อบุรีรัมย์ คุยเรื่องจัดชาวบ้านสามหมื่นคนไปต้องรับประยุทธ์เดินสายหาเสียง ครม.สัญจรว่า “ยังน้อยไปด้วยซ้ำ ดีไม่ดีอาจเกินกว่านั้น...เพราะสถานะของคุณเนวิน ชิดชอบ หรือของนักการเมืองในบุรีรัมย์ เราคือตัวแทนของประชาชนอยู่แล้ว”


จังหวะปะเหมาะพอดี เสาร์-อาทิตย์นี้เป็นสองวันก่อนจะสุดท้าย หมดเวลายืนยันการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง (เก่า) ในวันที่ ๓๐ เมษา ซึ่งพรรคเพื่อไทยที่เคยเป็นเสียงข้างมากตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เปิดให้สมาชิกไปลงทะเบียนได้ทั้งวัน (๙ ถึง ๕)

ก็เป็นข่าวขึ้นมาว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำนักการเมืองกลุ่ม วังน้ำยมอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะไม่ยืนยันการเป็นสมาชิก จะด้วยเหตุผลใดแหล่งข่าวไม่แจ้ง แต่ก็ลือกันลั่นจนปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์บ้างแล้วว่า นี่เป็นอีกหนึ่งก๊วนที่จะไปตามพลังดูด รวมทั้งตระกูลสะสมทรัพย์อีกก๊กหนึ่งด้วย


สำหรับพลังดูดที่ว่านั้นเห็นจะไม่มีใครให้เบาะแสได้ดีเท่า อดีตคนนับถือกันของ คสช. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จำต้องออกมา ปูดหลังจากถูกนักเขียนแค้นหุ่นทุนสามานย์อย่าง เปลว สีเงิน แซะแรงๆ ว่า “แสดงความเห็นเป็นศัตรูกับคสช. วิจารณ์คสช.โดยไม่ได้อยู่บนหลักเหตุผลที่เป็นจริง

น้องม้าร์ค “กล่าวถึงกรณี ครม.สัญจรที่กลุ่มจังหวัดอีสานใต้ ท่ามกลางกระแสดูดนักการเมืองเข้าร่วมรัฐบาล คสช.ว่า รัฐบาลทำระบบสัญจรมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งทำ” และ “ที่มีการระบุมีการระดมทุนถึง ๔ หมื่นล้าน เพื่อใช้ในการตั้งพรรคเพื่อสนับสนุนทหาร

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าตนไม่ทราบ ต้องไปถามคนที่พูดเรื่องนี้ ตนทราบเพียงว่า ได้รับคำยืนยันว่ามีคนในรัฐบาล มีความพยายามจะสกัดกั้นไม่ให้กลุ่มทุนเข้ามาสนับสนุนพรรคการเมือง...

ส่วนคนที่ทำอะไรโดยไม่อายก็มักจะได้เปรียบเป็นธรรมดา จึงขอเรียกร้องให้มีการแข่งขันกันอย่างเสมอภาค แล้วประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบในผลการเลือกตั้ง และเมื่อผลการเลือกตั้งออกมาก็ควรที่จะเคารพเจตนารมณ์ของประชาชน”


ตอนท้ายนี่มีหลายคนฉงนสนเท่ห์ว่า ฮ้า ออกมาจากปากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ไง ผิดครรลองการเมืองแบบไทยๆ หมด กระนั้นเขายังไม่วายน้อมรับวาทกรรม คสช. ว่า

ผมตระหนักถึงสถานการณ์บ้านเมืองในยามไม่ปกติดีและไม่เคยแสดงความเห็นแบบเป็นศัตรูกับรัฐบาลหรือใคร แต่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล หลักการความถูกต้องของบ้านเมืองทั้งสิ้น” แต่ก็ยังอ้างว่าจะปฏิรูปพรรคให้เข้าสู่ยุคใหม่จนได้
 
แม้นว่าจะมีพรรคยุคใหม่เกิดขึ้นแล้วโดยสองคนหนุ่มกับอีกหลายคนรุ่นใหม่ ประกาศให้ประชาชนที่ศรัทธาต่อแนวทางการเปลี่ยนแปลง และสมาชิกซึ่งปาวารณาตัว “ไม่ทำการเมืองแบบเก่า” ร่วมกันระดมทุนดำเนินงานและสนับสนุนการส่งสมัครรับเลือกตั้ง ให้ได้ราว ๓๕๐ ล้านบาท

นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการระดมทุนผ่านนวัตกรรมใหม่อย่างที่เรียกว่า ‘Crowd Funding’ ที่ประชาชนมีส่วนร่วมทุกระดับและดำเนินการอย่างเปิดเผย โปร่งใส” เป็นคำประกาศล่าสุดจาก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล สองผู้ร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่


ทว่าข้อเรียกร้องของคน (ที่เคย) กันเองกับ คสช. จะหาความแฟร์ได้แค่ไหน ยากที่จะไว้วางใจได้ ในเมื่อการกระทำที่เป็นมาและเป็นอยู่ ล้วนตรงข้ามทั้งสิ้น ดังเห็นจากกรณีที่อัยการเพิ่งสั่งฟ้องนายรังสิมันต์ โรม คดี อาร์ดีเอ็น ๕๐ในข้อหาก่อความวุ่นวายตามความผิดมาตรา ๑๑๖ และขัดคำสั่ง คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘ ทำการชุมนุมเกิน ๕ คนนั้น
 
คำฟ้องอ้างว่าเขา “ร่วมกันปราศรัยโจมตีการทำงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)...

พร้อมกับการชูนิ้วสามนิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง) บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และถนนราชดำเนิน อันเป็นสัญลักษณ์ในทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนั้น

โดยอ้างว่า “เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเพื่อให้ประชาชนที่พบเห็นเข้าใจว่ารัฐบาลและทหารจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งก่อให้เกิดภาพลักษณ์ในเชิงลบกับรัฐบาล


ภาพลักษณ์ในเชิงลบอันเกิดจากการชูสามนิ้วเพื่อเรียกหาประชาธิปไตยและการเลือกตั้งโดยไวนี่นะ ต้องหาร้ายแรง ม.๑๑๖ ว่าเป็นภัยต่อประเทศชาติ ต่อความมั่นคง เชียวหรือ