“คนแถวนี้ถ้าเขาไม่เหลืออดจริงๆ
เขาไม่ออกมาประท้วง หรือเรียกร้องอะไรหรอก” ถ้อยคำที่ Pipob Udomittipong เขียนโพสต์ว่า “คนเหนือแต๊
ๆ ที่ไม่ได้ยุ่งกับการเมืองเลยบอกผม”
ถึงเหตุการณ์ที่ชาวเชียงใหม่ ‘กว่าพัน’ พร้อมเพรียงกันออกมาเรียกร้อง “ให้นายกรัฐมนตรี สั่งรื้อถอนบ้านพักตุลาการศาลอุทธรณ์
ภาค ๕ ที่รุกล้ำแนวเขตป่าธรรมชาติ เพื่อปรับพื้นที่และฟื้นฟูให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม”
(@Weeranan VoiceTV21)
นอกจากนั้นยังมีผู้ตอบสำรวจ
‘นิด้าโพล’ ๘๕.๒ เปอร์เซ็นต์ของตัวอย่าง ๑,๒๕๐ คน เห็นว่าการขึ้นไปจัดทำโครงการสร้างบ้านพักตุลาการอย่างหรูนี้
“ไม่เหมาะสม
เพราะเป็นการทำลายป่าไม้
ทำลายธรรมชาติและระบบนิเวศ สิ้นเปลืองงบประมาณควรนำงบประมาณไปใช้ทำอย่างอื่นที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับคนในพื้นที่
และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไม่ควรมีสิ่งปลูกสร้าง”
อีกทั้งโพลของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์นี้ยังพบว่า
“ส่วนใหญ่ร้อยละ ๕๓.๘๔
ระบุว่าเห็นด้วย...กับการรื้อถอนบ้านพักตุลาการศาลบริเวณดอยสุเทพออกทั้งหมด “เพราะจะได้คืนผืนป่าให้กลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม
และจะเป็นการช่วยอนุรักษ์ผืนป่าเอาไว้”
เช่นนี้ก็น่าจะเกินพอให้มีการยุติโครงการอย่างสิ้นเชิง
และรื้อถอนวัสดุก่อสร้างต่างๆ ออกไปให้หมด มิใช่แก้ไขปัญหาด้วยปาก บอกว่ายับยั้งและจะไม่ให้ตุลาการเข้าไปอยู่อาศัย
แต่การก่อสร้างก็ยังดำเนินมา
อย่างน้อยในตลอดเวลากว่าเดือนที่เริ่มมีกระบวนการประท้วงคัดค้านเกิดขึ้น
มิหนำซ้ำฝ่ายตุลาการผู้ได้รับประโยชน์เกินเต็มจากโครงการนี้แสดงความเห็นแก่ตัวจะเอาแต่ได้
อดีตผู้พิพากษาระดับประธานศาลนายหนึ่งอ้างการปักปันโดยทหาร ให้เนื้อที่ ๑๔๗ ไร่ของโครงการอยู่นอกเขตป่าสงวน
ผู้พิพากษาคนนั้นยังแสดงอาการพาลพาโล
ไปแขวะโครงการก่อสร้างมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งในเนื้อที่กว่า ๖ พันไร่ว่าลุกล้ำป่าเหมือนกันใยไม่มีใครค้าน
อดีตผู้พิพากษาคนนั้นคงหูตาเมามัวเสียจนมองไม่เห็นว่าโครงการสร้างมหาวิทยาลัยนั้นเป็นประโยชน์ทางการศึกษาแก่เยาวชนของชาติเป็นหมื่นเป็นแสนคน
และเป็นล้านๆ ในระยะยาว
แต่โครงการหมู่บ้านป่าแหว่งบนดอยสุเทพ
เป็นความสุขสบายส่วนตัวของผู้พิพากษาไม่กี่สิบคน ไฉนผู้มีอาชีพบังคับใช้กฎหมายจึงต้องมีอภิสิทธิ์ความเป็นอยู่สูงส่งบนเขา
ขณะที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้
อดีตผู้พิพากษาระดับสูงถึงดอยอีกคนมีหน้าบอกว่า
ขืนไม่ให้ผู้พิพากษาอยู่บ้านเก๋ไก๋รายล้อมด้วยป่าอย่างนี้
ชาวบ้านต้องเสียเวลาไปฟังการพิจารณาคดีถึงกรุงเทพฯ เชียวละ
จึงขอให้พวกตุลาการได้อยู่อาศัยใช้สิทธิพิเศาไปก่อนสักสิบปีดูสิว่าจะช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศที่เสียไปจากการก่อสร้างได้ไหม
เหล่านั้นน่ะหรือคือความคิดความอ่านของคนที่ทำหน้าที่พิพากษาคดีความเพื่อธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
มิน่าประเทศชาติถึงได้ถดถอยทางจริยธรรมในความเสมอภาคแห่งมนุษยชนลงไปได้เพียงนี้
เมื่อผู้ใช้กฎหมายอ้างบางตัวบทให้เกิดความได้เปรียบแก่ตน
และสร้างความเหลื่อมล้ำทับถมสามัญชนอื่น
มันสะท้อนสถานะในสังคมแห่งการแบ่งแยกแตกร้าวฝังลึกกระทั่งทุกวันนี้
ยากที่จะผ่อนคลาย ไม่ต้องพูดถึงการเลิกรา เมื่อมีการตีตราฝ่ายหนึ่งว่าเป็นคนไม่ดี
อีกฝ่ายเป็นคนดีเพียงเพราะสนับสนุนให้ทหารเข้ามายึดอำนาจเอาไปครองอย่างเบ็ดเสร็จ เสียจนกำลังจะก่อความเดือดร้อนเสียเองแก่ฝ่ายที่เป็นนั่งร้านรองรับเผด็จการ
หนึ่งในพวก ‘นั่งร้าน’
ตัวยง นัก ‘ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง’ เพิ่งจะรู้สึกว่าถูกทหารหลอกใช้เป็นบันไดเหยียบขึ้นสู่อำนาจ
โพสต์ข้อความอันย้อนแย้งอย่าง ‘irony’ ว่า “เมื่อไหร่พี่น้องเสื้อเหลืองเสื้อแดงจะจับมือก้าวข้าม
คสช.+ทักษิณ+คอร์รัปชัน” เสียที
รสนา โตสิตระกูล อดีต สว.คนดังของกรุงเทพฯ
เปรียบเปรยการจับมือกันของผู้นำเกาหลีเหนือ-ใต้
ลงนามเขตปลอดอาวุธปรมาณูบนคาบสมุทรเกาหลี
และร่วมกันกรุยทางไปสู่การรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสองฝ่าย
แล้วย้อนมาดูตัวเองของพวกเรา
มีคนถามว่า “แล้วที่ไปเดินขบวนขับไล่ตระกูลทักษิณไม่ได้ผลหรือ”
น.ส.รสนาให้ความเห็นว่า “๔ ปีของ คสช.ไม่ได้ปฏิรูปเรื่องสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง”
แต่ผู้ตั้งคำถามที่เป็น ‘เสื้อเหลือง’ เต็มที่คนนั้นก็ยังคงยืนยันว่า
“ไม่ต้องการให้ทักษิณกลับมา
เลยยังต้องสนับสนุน คสช.ต่อไป
ดิฉันถามว่าแม้ในสมัยนี้ที่มีการคอร์รัปชันไม่ต่างจากรัฐบาลในเครือข่ายทักษิณที่เธอออกมาเดินขบวนขับไล่กันหรือ
เธอได้แต่นิ่งอึ้ง”
รสนาเจาะจงถึงประเด็นที่มีการเอ่ยถึงมาแล้วในช่วงเกือบปีที่ผ่านมา
หลังจากที่คนส่วนใหญ่ตระหนักแล้วว่า คสช. ไม่เพียง ‘ไร้น้ำยา’ หากเข้ามาเพื่ออำนาจของตนเองเท่านั้น และยิ่งอยู่นานก็ยิ่งลงยาก
เธอว่า “หากเสื้อเหลืองเสื้อแดงยังแตกคอกัน
ปกป้องแต่ผู้นำที่ตนเชียร์ แม้ผู้นำของตนจะคอร์รัปชัน
เราก็คงเป็นเหมือนเกาหลีเหนือเกาหลีใต้ที่ไม่ยอมก้าวข้ามเส้นแบ่งสมมติที่ขีดกันขึ้นมา”
ข้อเรียกร้องของรสนามิใช่แค่ ‘too
little, too late’ เพราะการเกลียดชังซึ่งกันและกันของสองฝ่ายมันก้าวข้ามทั้งทักษิณและ
คสช. ไปไกล อีกทั้งเนิ่นนานยากที่จะกู่กลับเสียแล้ว ตราบเท่าที่ความรู้สึกกร่าง
หยามหมิ่น และเอาเปรียบยังฝังอยู่กับมโนจริตการเป็น ‘คนดี’
พงศกร รอดชมภู ถือโอกาสตอบคำของรสนาว่า “แดง-เหลืองส่วนใหญ่ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกัน
แต่เป็นเหตุจากชนชั้นนำที่บอกว่าควรปกครองด้วยการแต่งตั้ง ด้วยผู้ดีมีสกุล แต่ปัญญาอ่อนก็ได้ต่างหาก
ที่ไม่ยอมสละอำนาจนั้น...
ไม่ต้องก้าวข้ามใคร
นอกจากชนชั้นปกครองทั้งหลายที่เห็นแก่ตัว ทำนาบนหลังคน
เพื่อสร้างความเสมอภาคและความยุติธรรม เท่านั้นครับ” อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงฯ
สมัยทักษิณ โต้นักปฏิรูปพลังงานตัวยง “แม้แต่ ปตท. ที่บางคนยังไม่ก้าวข้าม”
สวนรสนาทันควัน (แรงส์) อีกคนไม่พ้น Pavin Chachavalpongpun นักวิชาการสังกัดมหาวิทยาลัยเกียวโต แต่ตะลอนสอนหนังสือและบรรยายไปทั่วโลก
ว่า “ตัวมึงเองนะคะที่มีส่วนเป่านกหวีดเรียกทหารทำรัฐประหารล้มอีปู”
และ
“คนเสื้อแดงถูกยิงตายฟรีๆ เกือบ ๑๐๐ คน
ให้เค้าก้าวข้ามหรอคะ ถ้าพ่อแม่มึงถูกยิงกะโหลกด้วย มึงจะก้าวข้ามไหมคะ”
เสริมด้วยว่า “ตอนนี้ไทยอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ คสช วิธีเดียวที่จะก้าวข้ามได้คือต้องโค่นล้มมันคะ”