วันจันทร์, เมษายน 16, 2561

“มึงรู้มั้ยกูเป็นใคร” ฉายารัฐราชการทหารครองเมือง เจอ "เสรีนิยมสมบูรณ์แบบและยั่งยืน" ของ ปชป.


แหม่ ไอ้พวกผู้พันเดี๋ยวนี้กร่างกว่าเก่าเยอะ เที่ยวชี้หน้าชาวบ้าน “มึงรู้มั้ยกูเป็นใคร” ง่ายชิบ ชอบทำฉุนเฉียวเหมือนเจ้านายพวกมัน สงสัยพวกนี้รู้ดีคงได้หย่ายนาน สี่ปีไม่มียอมไป

ห่างกันแค่สองสามวันเกิดเรื่องกลางถนนสองราย ล่าสุดเมื่อวาน (๑๕ เมษา) คนขับรถปิ๊กอัพไม่พอใจมอไซค์บีบแตรใส่ จอดรถลงมาชี้หน้าด่า “มึงรู้มั้ยกูเป็นผู้พัน” หลังจากที่ยกมือให้ของลับแล้วแทนที่จะสำนึก กลับถ่ายคลิปเสียอีก

เรื่องนี้ได้มาจาก ข่าวสดที่เก็บมาจากโพสต์ของผู้ใช้นาม ฝันให้ไกล ไปให้ถึงอีกต่อหนึ่ง เล่าเหตุตอนลงสะพานเดชามุ่งหน้าไปแยกบิ๊กซี “มีรถปาดหน้าโดยไม่เปิดไฟเลี้ยว เราบีบแตรไปสองทีให้รู้ว่าจะชนแล้ว แต่เค้าบีบแตรไล่ด่าตามตูด...

ขับรถจี้ตามแล้วปาดหน้ามอเตอร์ไซต์เรา อ้างว่าเป็นผู้พันนะคะจะถอยรถชนเราด้วย” ผู้ขับมอเตอร์ไซค์เล่าว่า ผู้พันปรี่เข้ามาฟาดมือจนโทรศัพท์ร่วง


อีกรายก่อนหน้าไม่กี่วัน สาวท่าลี่วัย ๓๒ ขับรถลังเลหน้าร้านสะดวกซื้อในเขตเทศบาล มีเก่งอีกคันผ่านมาเกือบชนกัน ชายกำยำคนขับคันนั้นเปิดรถลงมาด่าทอทำไมไม่เปิดไฟเลี้ยว น.ส.วนิดา คำอ่อน ตอบขอโทษชายคนนั้นยังไม่ยอมหายโมโห ตะคอกใส่เสียงดัง

“รู้ไหมว่ากูเป็นใคร” อ้าง “เป็นนายทหารใหญ่” เสียด้วย น.ส.วนิดาจึงควักมือถือออกมาบันทึกภาพ ก็ถูกชายคนนั้นตบหน้าสองทีจนโทรศัพท์ในมือกระเด็น จากนั้นมีชายอีกคนมาห้าม (ทราบภายหลังว่าเป็นตำรวจ) แต่คนที่อ้างเป็นทหารใหญ่ไม่ฟัง บอกอย่ายุ่ง

หลังจากแยกกันไปแล้วชายทหารใหญ่ยังขับรถตามไปด่าใส่ต่ออีก พอหนำใจแล้วจึงขับหนีไป สาวที่ถูกตบจึงเบนรถไปแจ้งความที่สถานีท่าลี่ จ.เลย อีกสองวันต่อมานายอำเภอท่าลี่นัดหมายทหารใหญ่มาไกล่เกลี่ย พบว่าเป็นทหารอากาศยศเรือตรี

ฝีมือไกล่เกลี่ยของนายบุญเลิศ ลันทนา ยอดเยี่ยม เรืออากาศตรีพลกฤต จันทะภา ยอมขอโทษและเสียค่าปรับ ๒ พัน ส่วนน.ส.วนิดาก็เปี่ยมกรุณา ประนมไหว้รับคำขอโทษอย่างชื่นมื่น (สำนวนไทยรัฐ) หลังจากนั้นเธอให้สัมภาษณ์ (มติชน) ว่า
 
“ขอบคุณที่พี่ทหาร ที่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ยอมให้เกียรติลงมาขอโทษ ตนก็ขออภัยทานด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง” แถมย้ำอธิบายด้วยว่า อภัยทาน นี่เหนือกว่า ไม่ใช่การให้อภัยธรรมดานะ


ข่าวนี้มีคนคอมเม้นต์เป็นพิเศษว่าผู้เสียหายยอมให้อภัยโดยง่าย ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐทั้งฝ่ายปกครองและตำรวจก็ให้ความช่วยเหลือในการไกล่เกลี่ยอย่างเต็มพิกัด จนผู้กระทำผิดซึ่งลุแก่โทษะหลุดคดีอย่างสบาย

นี่ละ (Here is) รัฐราชการ ยุคทหารครองเมือง ข้าราชการสำคัญมาก ร่วมด้วยช่วยกันประสานให้ทุกอย่างราบรื่นยืนยาว ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ตามแผนยุทธศาสตร์ ๒๐ ปีของ คสช.

ฉะนี้ “คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน จึงได้จัดทำแผนการปฏิรูปประเทศ ๕ ปี ระหว่างปี ๒๕๖๑-๒๕๖๕ ประกอบด้วย ๖ ประเด็น โดยใช้งบประมาณในการขับเคลื่อน ๓๓,๔๐๘ ล้านบาท”


นี่ไง (เฮีย again) ถึงได้ สงสัย ว่าพวกทหารอาจจะไม่ยอม ไป ง่ายๆ ยังมีพันธะหน้าที่อีกหลายหมื่นหลายแสนล้านในการปฏิรูปประเทศให้เป็นรัฐราชการ สมบูรณ์แบบ ทั้งที่ประกาศเป็นครั้งที่ ๕ แล้วว่าจะให้มีเลือกตั้งได้ในอีก ๑ ปีข้างหน้า แต่เวลา ๑ ปีนั้น อะไรๆ ก็เปลี่ยนได้ง่ายเช่นกัน ดังที่ผิดคำพูดมาแล้วสี่ปีสี่ครั้ง

ซ้ำร้าย คสช. มีข้อได้เปรียบไม่เพียงกำอาวุธไว้บีบบังคับตามอำเภอใจ ยังมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งถึงจะไม่มากนักแต่ก็ถูกใช้เป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมแก่การใช้อำนาจของทหาร

เห็นได้จากความลักลั่นภายในพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ท่าทีของหัวหน้าขณะนี้พยายามพูดแสดงตนเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย โดยไม่บอกว่าต้องการเปลี่ยนจากจุดยืนและการกระทำที่ผ่านมาในทางอนุรักษ์นิยมและสมยอมกับอำนาจเผด็จการทหาร
 
ขณะที่สายการนำของ ปชป. ผลักดันนายพริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ขึ้นมาเป็นนักการเมืองตัวแทนคนรุ่นใหม่ โดยนายพริษฐ์ หรือ ไอติมก็แสดงตนสมบทสมบาทด้วยการนัดจิบกาแฟกับ หนูดีวิรัลพัชร รอดแก้ว หนึ่งในสามนิสิตจุฬาฯ ที่กำลังโด่งดังจากการชูป้ายเสียดสีเผด็จการทหาร เนื่องเพราะผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปแสดงปาฐกถา

ไอติมโพสต์ข้อความ “ชื่นชมความกล้าหาญของน้อง (ต่อ) สิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง” พร้อมอ้างด้วยว่านั่นเป็น “ขาสำคัญของระบอบประชาธิปไตย” ชนิด “เสรีนิยม สมบูรณ์แบบและ ยั่งยืน


ท่าทีของนายพริษฐ์เช่นนั้นหาได้รอดพ้นจากการต้านทานโดยฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์เอง เมื่อมีผู้ใช้นาม Thunyarat Arunsrisaengchai ไปเขียนค้านว่า

“คิดให้ดีนะน้องนะ ทหารไม่ใช่ฝ่ายที่น้องต้องต่อต้าน ไอ้เด็กเปรตพวกนี้ซิ ที่น้องไม่ควรเกลือกกลั้วกับมัน...ถ้าไม่มีทหารน้ามาร์คของน้องคงถูกไอ้ที่มาจากเลือกตั้งยำไปนานแล้ว...”
ถ้อยคำเช่นนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก หากพรรคประชาธิปัตย์ต้องการเป็นเสรีนิยมประชาธิปไตยจริงก็คงต้องเข็นครกขึ้นภูเขา แต่ถ้าเป็นเพียงแบบบทลิเกโหมโรงเรียกแขกละก็ เชื่อเถอะพอขึ้นฉากสองต้องลายออกให้เห็นแน่ หลังจากนั้นจะเจอขวดโซดาเต็มเวที