วันจันทร์, เมษายน 23, 2561

ผู้พิพากษาขออยู่ 'บ้านป่าแหว่ง' ดอยสุเทพไปก่อนสักสิบปี ดูซิว่าจะคืนระบบนิเวศได้ไหม


๒๙ เมษานี้รู้เช่นเห็นกันว่าฝ่ายปกครองกับมณฑลทหารเชียงใหม่จะว่าไง เอาใจตุลาการซึ่งเป็นหุ้นส่วนคาบบ้าน ครองเมือง แล้ว ชั่งหัวมันประชากรนครพิงค์ผู้รักธรรมชาติ

เมื่อ ๒๐ เมษา นายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ แจ้งต่อสาธารณะว่าคณะกรรมการร่วมเห็นตรงกันว่า สมควรให้รื้อถอนบ้านพักและอาคารชุดในโครงการบ้านพักตุลาการ บนพื้นที่ดอยสุเทพ

“เนื่องจากการก่อสร้างทั้งหมดส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมทั้งนิเวศวิทยาและนิเวศวัฒนธรรม เพราะเป็นแนวเขตป่าดั้งเดิม” จึงได้รวบรวมข้อสรุปทั้งหมดจัดส่งให้ทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและแม่ทัพภาคที่ ๓ “เพื่อส่งต่อไปให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย”

โดยหวังว่าพลเอกตู่ (ตำแหน่ง) นายกรัฐมนตรีจะเข้าใจ “และตัดสินใจคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพให้ตามที่ชาวเชียงใหม่เรียกร้อง” ไม่เช่นนั้น “หากการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปในทิศทางที่ภาคประชาชนเรียกร้อง จะมีการยกระดับการเคลื่อนไหวให้เข้มข้นยิ่งขึ้น”


นายกฯ ตู่จะมีท่าทีอย่างไรในกรณีนี้สุดที่จะเดาใจอารมณ์ไบโพล่าของทั่นได้ แต่สายการครองอำนาจรองๆ ลงมาอย่างรองนายกฯ และ ผบ.ทบ.เคยให้ความเห็นกันไว้แล้ว ไม่รื้อ ไม่เลิก แต่อาจไม่ให้ตุลาการเข้าไปอยู่ และเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น (เสียดายไม่ใกล้ทะเล ไม่งั้นทำเป็นคอนโดนกนางแอ่น แจ๋วแน่)
 
แต่ทว่าชาวบ้านล้านนาเขาผนึกกำลังกันแน่น เป็นปรากฏการณ์โซเชียลแซงชั่นทั่วทั้งเมืองเชียงใหม่ “ถ้าคุณคิดว่าพวกคุณอยู่ได้คุณก็อยู่ไป”

แผงขายอาหารแห้งในตลาดแห่งหนึ่งติดป้าย “ร้านนี้ไม่ขายของให้ คนบาปทำลายป่า” อีกแห่งขายอาหารบอก “ร้านนี้ไม่ต้อนรับคนทำลายป่า ร่วมใจทวงคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ” กับชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเขียนป้ายให้เหตุผลควรต้องฟัง

“ทำไมอาชีพตุลาการต้องได้อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่น ถึงขนาดต้องยกป่าของประเทศให้ ตอบหน่อย”

ตุลาการนายหนึ่งเป็นอดีตประธานศาลอุทธรณ์ภาค ๕ ตอบ (ต่างวาระ ไม่ต่างกรรม) ว่าอย่าเพิ่งไปรื้อถอนมันเลย ให้ศาลทั่นอยู่ไปก่อนก่อนสักสิบปี แล้วค่อยมาดูกันว่าศาลทั่นจะสามารถปรับปรุงระบบสิ่งแวดล้อมทั้งปวงให้คืนสภาพป่าได้ไหม

โอ๊ย ตรรกะของอดีตผู้พิพากษาระดับประธานเป็นอย่างนี้นี่หรือ มิน่าบ้านเมืองถึงได้ผิดผีผิดไข้ เต็มไปด้วยความอยุติธรรมเลือกข้างอยู่ทุกวันนี้ นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ อดีตประธานศาลภาค ๕ อ้างเหตุผลอย่างแสนเสล่ออีกว่า

“ถ้าหากผู้พิพากษาไม่มีที่อยู่ (หรูกลางธรรมชาติอย่างนี้นะ) ใครจะพิจารณาคดีให้ท่านล่ะครับ ท่านอาจจะต้องเดินทางไปฟ้องกันที่กรุงเทพฯ นะ ทั้งภาคเลยนะครับ”

โอ แม่งเจ้า ใต้เท้าขอรับ คดีที่พวกทั่นพิจารณาเป็นล่ำเป็นสัน ระหว่างสี่ปีที่พวกทั่นเป็นลูกไล่พวกทหารนักยึดอำนาจเนี่ย เป็นคดีขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ซะเยอะแยะนะ ฉะนั้นไม่มีพวกทั่นได้ก็จะดีเหมือนกัน
 
แล้วก็อย่างที่ศิลปินแห่งชาติ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ตั้งคำถาม “ชุมชนป้อมมหากาฬ เก่าแก่มาเป็นร้อยปี ยังไล่รื้อได้ ทำไม บ้านศาลป่าแหว่ง จะรื้อไม่ได้” นั่นน่ะสิ

มันเป็นจังหวะพอดิบพอดีกับที่ชุมชนป้อมมหากาฬจัดงานอำลาพื้นที่เก่าแก่โบราณที่พวกตนเคยอยู่อาศัยกันมา ๒๕ ปี จนกระทั่งทางการขับไล่ สั่งรื้อถอน กำหนดให้ย้ายออกหมดภายในวันที่ ๒๕ เมษายนนี้ เพื่อใช้พื้นที่สร้างสวนสาธารณะ และตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาก็มีการขนย้ายและรื้อถอนมาอย่างต่อเนื่อง
พริษฐ์ ชีวารักษ์ นักศึกษา นักกิจกรรม จากคณะรัฐศาสตร์ มธ. ไปร่วมงานนี้ในฐานะตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่อาลัยชุมชนโบราณแห่งนี้กล่าวท้าวความว่า “มันคือซากปรักหักพังของเรื่องราว ของการหล่อทอง ของบ้านลิเก ของการทำอาหาร ของมิตรภาพ

เขาแสดงความเสียใจที่คนรุ่นใหม่อย่างเขาไม่สามารถทัดทานการทำให้เกาะรัตนโกสินทร์ทันสมัยด้วยการโละทิ้งของเก่าได้ “เมื่อถึงวันหนึ่ง ถ้าที่ตรงนี้กลายเป็นสวนอย่างที่ทาง กทม. กล่าวอ้าง ถึงมันจะสวยขนาดไหนเราก็คงต้องเรียกมันว่าซากปรักหักพัง เพราะจิตวิญญาณ เรื่องราว และประวัติก็ได้พังเสียหายไปแล้ว


สิ่งที่รัฐไทยยุคทหารครองเมืองต้องการถนอมไว้ เป็นความหรูหราตระการและความสะดวกสบายของชนชั้นนำในสังคม ยิ่งกว่าอื่นใด