วันจันทร์, กรกฎาคม 04, 2559

“คณะแพทย์ที่ถวายการรักษาแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทำการถ่ายน้ำที่คั่งอยู่ในสมองของพระองค์ครั้งใหม่”





“คณะแพทย์ที่ถวายการรักษาแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทำการถ่ายน้ำที่คั่งอยู่ในสมองของพระองค์ครั้งใหม่”

เป็นรายงานข่าวที่ปรากฏบนเว็บไซ้ท์ข่าวสารของประเทศกาน่า (Ghana M M A) เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม อันบังเอิญตรงกับการฉลองวันประกาศอิสรภาพในสหรัฐอเมริกาพอดี

เป็นที่ปลื้มปีรติอยู่เหมือนกันว่าสื่อออนไลน์ของประเทศในทวีปอาฟริกาให้ความสนใจแก่พระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้ากันถึงเพียงนี้ พินิจดูน่าจะเป็นเพราะสื่อแห่งนี้แจ้งว่าปฏิบัติการณ์จากนครลอนดอนและแฟร้งค์เฟิร์ทด้วยเช่นกัน

“ผลจากการฉายแสงเอ็กซ์เรย์เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน พบว่าของเหลวที่ถ่ายออกจากพระสมองผ่านทางเครื่องดูดน้ำ catheter มีปริมาณน้อยกว่าปกติ” เว็บข่าวกาน่าเอ็มเอ็มเอ อ้างรายละเอียดจากแถลงการณ์สำนักพระราชวัง

“คณะแพทย์ได้ขอพระบรมราชานุญาตเพื่อปรับเครื่องดูดของเหลวออกจากพระสมองให้มากขึ้น เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ”

ซึ่งตรงตามที่คณะแพทย์แถลงไว้ในรายงานพระอาการฉบับที่ ๓๐ เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม

รายงานข่าวยังได้เสนอรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวเนื่องกับพระอาการของพระองค์ อาทิ เมื่อเดือนมิถุนายนทรงรับการถวายผ่าตัดจากคณะแพทย์ เพื่อขยายหลอดเลือดภายในพระหทัย

นอกนั้นก็กล่าวถึงพระบรมเดชานุภาพต่างๆ เช่นทรงครองราชย์ติดต่อกันมากว่า ๗ ทศวรรษ ชนิดคนไทยจำนวนมากไม่เคยพบเห็นพระมหากษัตริย์องค์อื่นเลย

“พระบรมสาทิสลักษณ์ถูกเคลือบด้วยพลานุภาพ เด็กนักเรียนศึกษาถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ ผู้ที่เข้าไปชมภาพยนตร์ในโรงจะต้องยืนถวายความเคารพต่อเพลงสรรเสริญพระบารมี...

แต่การกล่าวขวัญสนทนาในรายละเอียดเกี่ยวกับรัชสมัยของพระองค์และบทบาทของสถาบันกษัตริย์ เป็นไปไม่ได้เลยในประเทศไทย เพราะมีกฎหมายเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ร้ายแรงที่สุดในโลก

การบังคับใช้กฎหมายนี้มีจำนวนมากขึ้นอย่างทะลุฟ้าในระยะสองปีที่ผ่านมา นับแต่ได้มีการรัฐประหารยึดอำนาจโดยคณะทหาร โดยที่ผู้ต้องคดีบางคนถูกตัดสินจำคุกถึง ๓๐ ปี”

(http://www.ghanamma.com/…/doctors-again-drain-water-from-…/…)

อย่างไรก็ดี จากแถลงการณ์ฉบับที่ ๓๐ แสดงถึงความสำเร็จอีกครั้งในการถวายการรักษาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แม้ว่า สศจ. นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์และพระราชวงศ์ไทย จะตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อไม่นานนี้ว่า มีแถลงการณ์คณะแพทย์ออกมาบ่อยมากขึ้น ซึ่งปกติจะรวบแถลงเพียงเดือนละครั้ง

ต่อพระอาการน้ำคั่งในสมองนี้ ปรากฏในแถลงการณ์ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙ จากนั้นในแถลงการณ์ฉบับที่ ๒๖ เมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๙ ได้สรุปพระอาการตลอดเดือนพฤษภาคม ลงท้ายว่า

“หากไม่มีพระอาการผิกปรกติใดๆ คณะแพทย์จะรายงานสรุปพระอาการ เป็นรายเดือนให้ทราบ”

ครั้นถึงวันที่ ๗ มิถุนายน กลับมีแถลงการณ์ฉบับที่ ๒๗ ออกมาแจ้งว่าประสพความสำเร็จในการทำ ‘บอลลูน’ และ “ฝังขดลวดค้ำยัน (Stent) ร่วมกับการใช้หัวกรอเพชร (Rotabrator) ในที่ตีบแคบบางตำแหน่ง”

พอวันที่ ๑๒ มิถุนายน ก็มีแถลงการณ์ฉบับที่ ๒๘ ออกมาอีก แจ้งถึงผลการทำบอลลูนเมื่อวันที่ ๗ ว่า “เป็นที่น่าพอใจ” และ “อัตราการเต้นของพระหทัย อัตราการหายพระหทัย และความดันพระโลหิต อยู่ในเกณฑ์ปรกติ”

ทว่าถึงวันที่ ๑๔ มิถุนายน กลับปรากฏว่า “ทรงมีภาวะน้ำไขสันหลังในโพรงพระสมองเพิ่มมากกว่าปรกติ” อีก

คณะแพทย์จึงได้ขอพระบรมราชานุญาต “ถวายการเปลี่ยนสายระบายน้ำในช่องพระนาภี (ช่องท้อง) โดยไม่ต้องใช้ยาสลบ เมื่อเย็นวานนี้” แถลงการณ์เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ระบุ

จนมาถึงวันที่ ๒ กรกฎาคม มีการ “ปรับสายเพื่อเพิ่มการระบายน้ำไขสันหลัง...ผลเป็นที่น่าพอใจ”

รวมความว่าตลอดหนึ่งเดือนกว่า นับแต่วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ถึง ๒ กรกฎาคม คณะแพทย์ถวายการรักษาพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผลสำเร็จ “น่าพอใจ” ถึง ๕ ครั้ง และลงท้ายแถลงการณ์ฉบับล่าสุดเหมือนเมื่อเดือนที่แล้วว่า

“หากไม่มีพระอาการผิดปรกติใดๆ คณะแพทย์จะรายงานพระอาการสรุปเป็นรายเดือน”

โดยมีข้อสังเกตว่าการถวายการรักษาห้าครั้งตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ในทางการแพทย์ฝรั่งเขาเรียกว่า ‘intervention’ อันการลักษณะให้การรักษาเพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉียบพลัน






เหตุฉะนี้กระมัง Andrew MacGregor Marshall อดีตผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ ซึ่งปัจจุบันร่วมงานกับกรีนพี้ชออสเตรเลีย คนหนึ่งที่ทำการค้นคว้าอย่างกว้างขวางและเขียนหนังเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยชื่อ ‘The Kingdom in Crisis’

เมื่อวานนี้เขาเขียนบนเฟชบุ๊คถึงแถลงการณ์สำนักพระราชวัง เรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ ๓๐ ไว้ว่า

“การตีความประการสำคัญที่สุดอยู่ที่...ทรงดำรงพระชนม์อยู่โดยเทียมธรรมชาติ กาลเวลาของการเปลี่ยนผ่านสามารถที่จะกำกับและดัดแปลงได้ โดยผู้ที่มีอำนาจสั่งการแก่คณะแพทย์...

ซึ่งรังแต่จะยืดเวลาของการทนทรมาน พวกเขาคงจะทำอย่างนั้นไปนานแล้วถ้าเป็นบุคคลธรรมดา เพื่อให้การจากลาเป็นไปอย่างสันติสุข”