เพื่อการรู้รอบ รู้ลึก และรู้จริง สิ่งที่นัก ‘เก็บขยะแผ่นดิน’ ต้องตามติด monitor สม่ำเสมออยู่ที่
ภายนอกครอบกะลาในอุษาคเนย์แห่งนี้นี้ใครๆ เขาว่า เขารู้ เขาเห็นอะไรกันบ้าง
อย่างเช่นที่ Andrew MacG Marshall @zenjournalist ทวี้ตไว้ไม่กี่ชั่วโมงมานี้
“Consultancy @control_risks tells foreign CEOs that Thai junta is in conflict with Prem and the privy council.”
บนหน้าคลังข้อมูลเกี่ยวกับประเทศไทย ‘Spotlight on Thailand’ ของ Control Risks กล่าวว่า
“The present calm imposed by troops on the streets may well be one before a much bigger storm. Control Risks will explain why the political, social and institutional forces in play right now will not allow investors to look forward to a return of business as usual in the months ahead.”
(เขาบอกว่าสภาพสงบที่ทหารกำกับไว้อาจเป็นเพียงความสงัดก่อนพายุหนักจะโหม เขาบอกด้วยว่าแรงดันต่อกันและกันทางการเมือง สังคม และสถาบันฯ ที่กำลังเป็นอยู่ จะไม่เปิดช่องให้นักลงทุนมองเห็นทางข้างหน้าในการกลับมาทำธุรกิจอย่างเคยเป็นเวลานานหลายต่อหลายเดือน
https://www.controlrisks.com/…/politi…/spotlight-on-thailand)
เรื่องอย่างนี้ยากที่จะปรากฏบนไทยโพสต์ แนวหน้า ทีนิวส์ หรือกระทั่งสปริงนิวส์ เว้นแต่จะต่อเนื่องกับปฏิกิริยาตอบโต้จากฮุนต้า
บริษัทที่ปรึกษาซึ่งชื่อมีความหมายว่า ‘กำกับความเสี่ยง’ แห่งนี้ ให้ข้อมูลเตือนซีอีโอบรรษัทยักษ์ๆ ทั้งหลาย ไว้ใช้พิจารณาการลงทุน ถอนทุน และปรับกระบวนในไทย
เพราะการเมือง (เบื้องลึก) ในท้องที่ มีความสำคัญต่อเสถียรภาพการเงินและธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง
เขาเห็นว่าในบ้านนี้เมืองนี้ยังมีสงครามในแวดวงชนชั้นนำอยู่ไม่สร่างซา
ขั้นหนึ่ง เครือชินวัตรกับพวกอำมาตย์ที่ลงรากฝังลึกในสังคม -แดงกับเหลือง
ขั้นสอง คณะทหารผู้ปกครองกับองคมนตรี –นายกฯ ประยุทธ์กับเปรม ติณสูลานนท์
ขั้นสาม ทหารกับทหาร –ทหารเสือราชินีกับทหารรักษาพระองค์ (รอ.) (หรือนัยหนึ่ง ‘วงศ์เทวัญ’)
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ Andrew MacG Marshall เอามาบอก เอ่ยถึงความน่าจะเป็นต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
การประท้วง (หรือปิดเมือง) จะกลับมา นั่นหมายถึงทรัพย์สินจะไม่สามารถทัดทานต่อความเสียหายได้
การปีนเกลียวกันในหมู่อำมาตย์อาจก่อให้เกิดรัฐประหารซ้อน คณะทหารผู้ปกครองแตกสลาย ความรุนแรงยิ่งกว่าเคยเกิดขึ้นอีกในบางกอก
การช่วงชิงสืบราชสันตติวงศ์ ความพยายามที่จะบิดผันการขึ้นครองราชย์ของรัชกาลที่ ๑๐ อาจก่อเกิดการปะทะในวงจำกัด
การปรับแก้รัฐธรรมนูญแบบถอยหลังเข้าครอบกะลา ออกเสียงประชามติในปี ๒๕๖๐ เหตุร้ายที่สุดซึ่งจะเป็นได้ถูกยับยั้ง
เหล่านั้นคือความน่าจะเป็นสำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยภายใต้การปกครองของคณะทหารหลังจากยึดอำนาจปกครองเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗
ที่ซึ่งสถานการณ์ที่ผ่านมาปีกว่าอาจทำให้ผู้รู้ (มากกว่าแอนดรูว์) บางท่านเห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่เป็นไปตามการคาดหมายเดิมก็ได้ โดยเฉพาะในส่วนของการเบี่ยงเบนสืบราชสันตติวงศ์
แต่จากปรากฏการณ์ที่พระสุวิทย์อิสระและนายแพทย์เหรียญทองสามารถนำผู้คนจำนวนหนึ่งไปประท้วงหน้าสถานทูตสหรัฐในกรุงเทพฯ เรียกร้องให้ปลดนายสุณัย ผาสุก เจ้าหน้าที่ฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ในประเทศไทย ได้นั้นแสดงว่า
กลุ่มประท้วงที่เคยปิดกรุงเทพฯ ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้สัญจร ผู้อยู่อาศัย มีการทำร้ายร่างกายชาวบ้านและผู้ขับขี่ยวดยาน กระทั่งมีการใช้อาวุธสงครามโดยการ์ด กปปส. และมือปืนป็อปคอร์น เหล่านี้อาจออกมาปั่นป่วนอีกเมื่อไรก็ได้เมื่อใดที่พวกเขาไม่พอใจการปกครองของกลุ่มประยุทธ์-ประวิตร
ข้อกล่าวหาต่อฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ของกลุ่มสุวิทย์-เหรีญทองที่ว่าองค์กรสิทธิมนุษยชนก้าวร้าวสถาบันกษัตริย์ด้วยการเสนอให้ปรับปรุงกฏหมายอาญามาตรา ๑๑๒ และ ๑๑๖ ให้สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชนสากลนั้น เห็นกันในสายตาคนภายนอก ‘กะลา’ ว่าเป็นการนำสถาบันกษัตริย์มาใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวทางการเมืองของพวกตนเท่านั้นเอง แต่คณะทหาร คสช. ก็ยังหลิ่วตาให้ทำกันได้ตามอำเภอใจ
ปรากฏการณ์อีกรายที่ขอนำมาใช้เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าคณะทหาร คสช. ผู้ปกครองประเทศไทยด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จภายใต้มาตรา ๔๔ ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวนี้ มิได้กำกับสถานการณ์เพื่อความสมานฉันท์จริงอย่างคุย กลุ่มที่คลั่งไคล้อ้างอิงสถาบันกษัตริย์เพื่อทำร้ายทำลายใครก็ตามที่ตนไม่พอใจโดยส่วนตัวยังคงประพฤติปฏิบัติให้เสื่อมเสียต่อบุคคลิกภาพแห่งชาติโดยรวม และต่อสถาบันกษัตริย์เองโดยตรงอยู่ไม่ขาดสาย
“กานดา นาคน้อย
October 8 at 10:18pm
มิตรสหายท่านหนึ่งส่งข่าวมาว่าเนื่องจากฉันแสดงความสนิทสนมกับ อ.ปวิน เลยมีคนกระจายข่าวที่ไทยว่ามีหลักฐานว่าฉันรับเงินจากองค์กรที่สหรัฐฯ เพื่อล้มสถาบันฯ
ฉันก็ขำๆ คนไม่มีความสุขนี่วันๆ สติแตกคิดแต่หาเรื่องคนอื่น ฉันก็บอกมิตรสหายท่านนั้นว่าไม่เป็นไร ให้ถือว่าคนมุ่งมั่นหาเรื่องคนอื่นเป็นคนประสาทกินจนชีวิตไม่มีความสุข
ใครฟ้องฉันด้วยข้อหางี่เง่าฉันก็จะโด่งดังมีชื่อเสียงที่สหรัฐฯ เลยนะ อยากให้ฉันเป็นที่รู้จักของนักการเมืองอเมริกันหรือ? ตอนนี้มีแค่นักเศรษฐศาสตร์ในสาขาที่รู้จักฉันแค่นั้นล่ะ
กลัวสหรัฐฯ อะไรกันหนักหนา แบงค์ชาติไทยธนาคารพาณิชย์ไทยยังส่งคนมาเรียนสหรัฐฯไม่เลิก แถมปูนซีเมนต์ไทยจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการอีกไม่กี่ปีข้างหน้า”
ผู้นำลงข้อความเป็นนักวิชาการของสถาบันการศึกษาอเมริกัน ที่แสดงข้อคิดเห็นและแลกเปลี่ยนกับผู้ใช้เฟชบุ๊คจำนวนมากในทางสาธารณะ จึงตกเป็นเป้าของการทำร้ายด้วยวิธีใส่ไคล้ภายใต้การอิงแอบกับ ‘ความจงรักภักดี’ ที่ไร้ปัญญา (sophistication)
เพียงแต่กลุ่มสุวิทย์-เหรียญทอง จะปล่อยวางศรัทธา ‘บอด’ (blind faith) เสียบ้าง และสำคัญที่สุดเลิกใช้ความประพฤติก้าวร้าวกับฝ่ายที่ตนไม่ชอบใจ จะเป็นทางยับยั้งความรุนแรงทางการเมืองได้แน่
อีกทั้งยุติการกัดกร่อนความน่าเลื่อมใสของสถาบันฯ ได้ดีกว่าไล่จับพวกปากร้ายวิพากษ์จ้าวนายใส่คุกเสียอีก
ลองมาดูบางคอมเม้นต์ที่มีผู้สนองต่อข้อความเฟชบุ๊คของ ดร.กานดา ข้างต้นดูสิว่า การคิดรอบข้างให้กระจ่างเป็นอย่างไร
“สถาบันฯ มีความสำคัญและจะดำรงค์อยู่ได้ก็ด้วยศรัทธาเท่านั้น ศรัทธาที่บังคับไม่ได้ซื้อหาไม่ได้ ต้องสร้างสมมาเอง หากจะล่มสลายไป ก็เมื่อศรัทธานั้นเสื่อมลงโดยสถาบันฯ เอง ไม่มีใครที่ไหนไปทำให้เสื่อมศรัทธาได้หรอก
ความกลัวเรื่องใครจะมาล้มสถาบันฯ นี่ จริงๆแล้วแก้ไขได้ง่ายนิดเดียวเอง ก็แค่เผชิญกับคำครหา ให้ร้ายต่างๆ ที่มี ชี้แจงด้วยข้อเท็จจริง พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ครหา ก็จบแล้ว กลับจะยิ่งทำให้ศรัทธามากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ตรงข้ามกับ พฤติกรรมปฏิเสธข้อกล่าวหา แล้วตั้งหน้าตั้งตาไล่ล่าทำร้ายโดยปราศจากคำชี้แจง ที่มีแต่จะยิ่งเป็นตัวเร่งทำให้ศรัทธาเสื่อมลงเร็วกว่าเดิมเพราะมันไปตอกย้ำคำครหาให้มันน่าเชื่อถือมากขึ้นนั่นแหละ”
คงไม่จบมั้ง นี่ยังห่างไกลมากมายกับเอกสารโบราณเพิ่งพบใหม่ในฝรั่งเศสนะ