ตกลงที่อภิปรายให้แม่น้ำห้าสายฟังว่า “จะปิดประเทศ” น่ะ ทั่นขอตระบัดใหม่
‘บิ๊กป้อม’ พี่ใหญ่ทีมเสืออิ่ม แก้แทนว่าทั่นหัวหน้าแค่บอกว่า
“ถ้าไม่สงบ มีการบาดเจ็บล้มตาย เลือกตั้งไม่ได้ ไม่เป็นไปตามโรดแมพ ไม่ปรองดอง ก็จะเอาไงก็เอา ท่านนายกฯหมายถึงอย่างนี้”
นั่นตามรายงาน Wassana Nanuam ส่วนที่ 'ยกทัพข่าวเช้า PPtv HD36' ถอดคำไว้ ดังนี้
“เขียนกันทุกวันว่าผมอยากอยู่ในอำนาจ หรืออยากอยู่ต่อ หากไม่สงบเรียบร้อยผมก็ต้องอยู่ เอางี้ไหมพูดกันให้รู้เรื่องสักที อยู่ที่ท่านนั้นแหละหากไม่เลิกกัน ก็อยู่กันอย่างนี้ ปิดประเทศก็ปิดกันไป ซึ่งผมไม่ได้ท้าทาย หากจะเอาประชาชนมา แกนนำจะโดนก่อน คนพูดมากๆ โดนก่อนหมด ผมมีอำนาจของผมอยู่”
ครือ...ไม่ได้ตั้งใจจะปิดจริง บังเอิญมันเป็นของธรรมดาที่ปากพาไปเป็นประจำ เพียงจะขู่แกนนำเสื้อแดงว่าถ้ายังขืนพาพรรคพวกใส่สีแดงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ละก็ มีหวัง
แต่ในเมื่อทั้งจจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ก็ออกมาโวยใหญ่ “ไม่ได้สั่ง” ก็ต้องยังไม่แดงทั้งแผ่นดินแน่
แถมอดีตนายกฯ ผู้น่ารักน่าสงสาร ยืนยันซ้ำ “ขอให้คำนึงถึงคำสั่ง คสช. เพื่อความมั่นคง” และ “เราอยากให้บ้านเมืองเกิดความสงบ” แล้วละก็
ถ้อยคำตะหานหาญพลิกผันได้ พูดผิด พูดพล่อย พูดไม่ค่อยตรงความจริง ก็เปลี่ยนเสียใหม่ให้น่าดู ไม่มีอะไรที่ตะหานไทยทำไม่ได้
อย่างที่บอกว่า “ประเทศไทยเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด มันมีการปฏิวัติรัฐประหารมาตลอดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง ผมถามหน่อยมีรัฐธรรมนูญฉบับไหนบ้าง ไม่ได้มาจากการปฏิวัติ”
ก็ต้องให้ #มิตรสหายท่านหนึ่ง มาตอบซะว่า “ฉบับปี ๒๕๔๐ ไง ว้ายๆๆๆๆ แค่นี้ก็ไม่รู้” (จาก 'วิวาทะ V2') ก๊อ แค่นั้น
เนี่ยแหละ สงสัยเรามาถึงจุดที่คณะยึดอำนาจต้องกลับมาใช้อาการ ‘กรรโชก’ กลบเกลื่อนปมด้อยด้านบริหารเศรษฐกิจเสียหน่อย ในเมื่อยังมีเสียงพูดกันไม่หยุดว่า ‘สมคิด’ เห็นท่าจะไม่รอดอีกแระ
อย่างเช่นรายหนึ่งผู้ใช้นาม ‘สมหยัด™ @Good_day_m8’ โพสต์คำขวัญใหม่ “ทักษินคิด อภิสิทธิ์ค้าน ยิ่งลักษณ์สาน สุเทพต้าน ทหารทำแพงระยำ แถมห่วยกว่าเดิมทุกโครงการ”
หลังสุดนี่ “กรณีธนาคารโลกปรับลดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจของไทย จากอันดับที่ ๔๖ เป็นอันดับที่ ๔๙”
“ระบุว่าไทยยังมีปัญหาเรื่องภาษีซ้ำซ้อน ยุ่งยาก ต้นทุนการนำเข้าส่งออกสูง การขอใบอนุญาตตั้งโรงงานใช้เวลานาน การอนุมัติทางสิ่งแวดล้อมซ้ำซ้อนและช้า รวมทั้งกฎหมายต่างๆ ยังเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน”
(http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1446164605)
นั้น ทั่นปลัดคลัง สมชัย สัจจพงษ์ แก้ต่างว่า “ข้อมูลที่ใช้ประเมิน เป็นข้อมูลก่อนการเข้ามาทำงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี”
นี่ไม่ได้ผลักความผิดไปให้รัฐบาลที่แล้วเท่านั้นนะ แต่ว่ายกความชั่วให้แก่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนก่อน ภายใต้ ‘junta boss’ คนเดียวกันนี่แหละ อีกด้วย
อีกทั้ง “ในการขอข้อมูลเพื่อทำการประเมินของธนาคารโลกไม่ได้ถามจากผู้ประกอบการโดยตรง แต่ถามจากฝ่ายกฎหมาย จึงมีข้อมูลที่คลาดเคลื่อนบ้าง”
ปุดโถทั่นปลัดฯ ถึงข้อมูลจะคลาดเคลื่อนบ้าง ระดับธนาคารโลกเขาคงไม่วิเคราะห์ภาวะการณ์ผิดพลาดได้เหมือนแบบไทยๆ หรอกนะ
แล้วเรื่องสี่สมาชิก WTO องค์การค้าโลก ‘สหรัฐ-อียู-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์’ จี้ไทยให้ชี้แจงปัญหาเปลี่ยนฉลากเหล้า-บุหรี่โดยพลการ ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าตามข้อผูกมัดกับองค์การ
ทั้งนี้ สี่สมาชิกดังกล่าวทวงถามว่า “๑) มีการแจ้งผู้ประกอบการล่วงหน้าอย่างชัดเจนหรือไม่ ๒) มีการเว้นระยะเวลาให้ผู้ประกอบการได้ปรับตัวหรือไม่ และ ๓) ขอให้ไทยชี้แจงประเด็นที่กระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้เผยแพร่ส่วนผสมในสินค้า”
ข้อสามนี่ผลักภาระไปให้ใครไม่ได้เสียด้วย กรูซวยเอง
อีกเรื่อง “สอบถามรัฐบาลไทยในประเด็นการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวของอดีตรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...
โดยในประเด็นนี้ข้อกังวลของประเทศสมาชิก WTO ก็คือ การรับจำนำข้าวได้ก่อให้เกิดสต๊อกข้าวสารเก่าของรัฐบาลไทยเป็นจำนวนมาก และอาจส่งผลต่อราคาข้าวในตลาดโลก”
ซึ่ง นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ รองประธานคณะกรรมการเจรจาความตกลงระหว่างประเทศ สภาหอการค้าไทย บอกว่า
“ประเด็นจำนำข้าวน่ากังวลมากกว่าเรื่องฉลาก เพราะเป็นนโยบายของอดีตรัฐบาล เป็นนโยบายที่ขัดต่อหลักการเรื่องการอุดหนุนใน WTO”
(http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1446106256)
นี่ประเภท ‘ปัดสวะพ้นตัว’ หรือ ‘เอาชั่วให้คนอื่น’ กันแน่
ในเมื่อการทำธุรกรรมในแวดวงนานาชาตินั้นน่ะ ไม่ว่ารัฐบาลไหนย่อมเป็นตัวแทนของประเทศนั้นเหมือนกันหมด
ไม่เช่นนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงจะไม่มีโอกาสสวมรอยรับชอบนโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า และลอยตากระพริบถี่ยิบในที่ประชุมชาติพัฒนาระบบสื่อสารดิจิทอลได้หรอก
ยังไม่หมด แล้วเรื่องปิดหีบงบประมาณปี ๒๕๕๘ ล่ะว่าไง
“ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิ ๒,๒๐๗,๔๗๖ ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณไป ๑๑๗,๕๒๔ ล้านบาท หรือ ๕.๑%”
ปลัดคลังคนเดิม “หวังว่ามาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจในไตรมาส ๔ ปีนี้ ‘ผงกหัว’ ขึ้นได้”
ขณะที่ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หวังว่า การนำระบบการชำระเงินภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) และการผลักดันให้ผู้ประกอบการทำบัญชีเดียว มาใช้
“จะทำให้มีรายได้ส่วนเกินเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ เพราะจะช่วยขยายฐานภาษีได้มาก”
(http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1445919366)
ไม่แน่ใจว่านี่เป็นอันเดียวกับที่ชาวบ้านกำลังบ่นกันหนาหูว่า รัฐบาลลุงตู่คิดจะรีดเลือดปู (เล็กปูน้อย) เพิ่มยิ่งขึ้น นอกเหนือจากพยายามจะรีดเลือดปูยักษ์ ยิ่งลักษณ์ ก้อนใหญ่ อยู่หลัดๆ ขณะนี้